ไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้เกษตรกร ลดลง ตามการลดลงของราคายางพารา ขณะเดียวกันการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง และการท่องเที่ยวหดตัวตามภาวะการ ท่องเที่ยวบริเวณภาคใต้ตอนล่าง แม้ว่าทางฝั่งอันดามันจะขยายตัวดีก็ตาม ด้านการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่การส่งออกลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจและการเงิน มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม รายได้ของเกษตรกรจากการจำหน่ายพืชผลหลักลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.9 ตามราคาพืชผลหลักที่ลดลงร้อยละ 5.4 เป็นผลจากราคายางพาราลดลงร้อยละ 9.0 แม้ราคาปาล์มน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกันผลผลิตพืชผลหลักลดลงร้อยละ 0.6 ตามผลผลิตยางพาราที่ลดลง อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรมีแนวโน้ม ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนซึ่งลดลงถึงร้อยละ 15.4
ด้านประมงทะเลหดตัวเนื่องจากทรัพยากรทางทะเลมีน้อย และการเข้าไปทำประมงในน่านน้ำประเทศ เพื่อนบ้านมีความเข้มงวด ประกอบกับต้นทุนการทำประมงที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันส่งผลให้ปริมาณสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือประมงในภาคใต้ ไตรมาสนี้มีจำนวน 78,703.6 เมตริกตัน มูลค่า 2,896.6 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกัน ปีก่อนร้อยละ 12.2 และ 9.9 ตามลำดับ สำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้ง ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ส่งผลให้ราคากุ้งขาวลดลงอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้ช่วยรับจำนำกุ้งขาวจำนวน 10,000 เมตริกตัน โดยกุ้งขาวแวนนาไมขนาด 40 50 60 ตัวต่อกิโลกรัม ราคารับจำนำกิโลกรัมละ 140 120 และ 105 บาท ตามลำดับ
2. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตโดยรวมลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มลดลงร้อยละ 4.2 ตามปริมาณวัตถุดิบ ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก การผลิตลดลง เนื่องจากตลาดหลักในตลาดต่างประเทศชะลอการซื้อ การแข่งขันสูงกับประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า และการขาดแคลนวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ดยปริมาณการส่งออก อาหารบรรจุกระป๋อง สัตว์น้ำแช่แข็ง ยางพารา และถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 28.5 23.9 9.7 และ 8.5 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9
3. การท่องเที่ยว หดตัว โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในภาคใต้ มีประมาณ 632,220 คน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.1 เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเที่ยวจังหวัดสงขลาลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 29.1 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 34.6 ในไตรมาสก่อน สำหรับการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันแม้ว่าจะอยู่ในช่วงกรีนซีซัน แต่ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อาทิ ออสเตรเลีย เกาหลี จีน และญี่ปุ่น เดินทางเข้ามา เนื่องจากภาครัฐและเอกชนมีการ ส่งเสริมและทำตลาดการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางมาจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.4
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยรวมชะลอตัวจากราคาน้ำมันปรับตัว สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ราคายางพาราและปาล์มน้ำมันจะอยู่ใน ระดับสูงก็ตาม โดยการจดทะเบียนใหม่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 16.0 และ 34.3 อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ไม่รวมศุลกากร) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.3 การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.8
5. การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัว ในไตรมาสนี้พื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลลดลงร้อยละ 16.5 โดยลดลง เกือบทุกประเภท1 ยกเว้นพื้นที่ก่อสร้างเพื่อการบริการที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 เนื่องจากมีการก่อสร้างโรงแรมและที่จอดรถ ที่จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานีเป็นสำคัญ ด้านการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคล จำนวนรายและทุนจดทะเบียนลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 15.6 และ 20.8 สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยมีจำนวน 20 โครงการ และเงินลงทุน 14,588.0 ล้านบาท เป็นโครงการลงทุนในภาคใต้ตอนบนจำนวน 17 โครงการ และภาคใต้ ตอนล่าง 3 โครงการ
6. การจ้างงาน มีผู้ประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดในภาคใต้ทั้งสิ้น 11,646 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.9 โดยจังหวัดสงขลามีตำแหน่งงานว่างมากที่สุด ขณะที่มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 12,966 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5 ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และมี การบรรจุงานรวม 9,340 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.0 โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีบรรจุงานมากที่สุด รองลงมาคือจังหวัดสงขลา
7. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อน โดยราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ตามการเพิ่มขึ้นของสินค้าหมวดเป็ดไก่ (11.2%) หมวด ไข่และผลิตภัณฑ์นม (6.3%) หมวดผักและผลไม้ (4.2%) และหมวดข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง (2.4%) ส่วนหมวด อื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากการสูงขึ้นของดัชนีค่าโดยสารสาธารณะ (2.2%) และหมวดยาสูบ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (1.3%) สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อน
8. การค้าต่างประเทศ การส่งออกผ่านด่านศุลกากรในภาคใต้มีมูลค่า 2,647.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.4 เป็นผลจากการส่งออกสัตว์น้ำแช่แข็ง ยางพารา อาหารกระป๋อง และถุงมือยางลดลง ร้อยละ 26.6 16.7 12.8 และ 4.3 ตามลำดับ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 1,278.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส เดียวกันปีก่อนร้อยละ 29.0 ตามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์ และสัตว์น้ำแช่แข็งที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 161.1 19.6 และ 3.5 เป็นสำคัญ
9. ภาคการคลัง ส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 30,972.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.6 เพราะส่วนราชการต่าง ๆ ได้เร่งเบิกจ่ายเงินด้านงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ที่วางไว้ประมาณร้อยละ 73 ของกรอบงบประมาณลงทุน ส่วนรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรมีจำนวน 7,832.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.7 ตามการจัดเก็บภาษีสรรพากร และภาษีภาษีศุลกากร ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 และ 11.5 ขณะที่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลดลงร้อยละ 4.6
10. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนกันยายนนี้ เงินฝากคงค้างของสาขาธนาคารพาณิชย์ คาดว่ามีจำนวนรวม 393,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.0 และสินเชื่อคงค้างมีจำนวนประมาณ 321,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก เดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.3 เป็นการเพิ่มในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง ประกอบกับ การลงทุนในภาคใต้ตอนล่างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ผู้ประกอบการ ชะลอการลงทุน ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวไม่มากนัก
แนวโน้ม ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 คาดว่า เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาพืชผลเกษตรที่สำคัญยังอยู่ใน ระดับสูง ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน และเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปี จะส่งผลให้การ ท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง คือ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเพิ่มเติม : ภูวดล เหล่าแก้ว โทร. 0 7436 7646 e-mail : phoowadl@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ภาคเกษตรกรรม รายได้ของเกษตรกรจากการจำหน่ายพืชผลหลักลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.9 ตามราคาพืชผลหลักที่ลดลงร้อยละ 5.4 เป็นผลจากราคายางพาราลดลงร้อยละ 9.0 แม้ราคาปาล์มน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกันผลผลิตพืชผลหลักลดลงร้อยละ 0.6 ตามผลผลิตยางพาราที่ลดลง อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรมีแนวโน้ม ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนซึ่งลดลงถึงร้อยละ 15.4
ด้านประมงทะเลหดตัวเนื่องจากทรัพยากรทางทะเลมีน้อย และการเข้าไปทำประมงในน่านน้ำประเทศ เพื่อนบ้านมีความเข้มงวด ประกอบกับต้นทุนการทำประมงที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันส่งผลให้ปริมาณสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือประมงในภาคใต้ ไตรมาสนี้มีจำนวน 78,703.6 เมตริกตัน มูลค่า 2,896.6 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกัน ปีก่อนร้อยละ 12.2 และ 9.9 ตามลำดับ สำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้ง ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ส่งผลให้ราคากุ้งขาวลดลงอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้ช่วยรับจำนำกุ้งขาวจำนวน 10,000 เมตริกตัน โดยกุ้งขาวแวนนาไมขนาด 40 50 60 ตัวต่อกิโลกรัม ราคารับจำนำกิโลกรัมละ 140 120 และ 105 บาท ตามลำดับ
2. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตโดยรวมลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มลดลงร้อยละ 4.2 ตามปริมาณวัตถุดิบ ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก การผลิตลดลง เนื่องจากตลาดหลักในตลาดต่างประเทศชะลอการซื้อ การแข่งขันสูงกับประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า และการขาดแคลนวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ดยปริมาณการส่งออก อาหารบรรจุกระป๋อง สัตว์น้ำแช่แข็ง ยางพารา และถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 28.5 23.9 9.7 และ 8.5 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9
3. การท่องเที่ยว หดตัว โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในภาคใต้ มีประมาณ 632,220 คน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.1 เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเที่ยวจังหวัดสงขลาลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 29.1 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 34.6 ในไตรมาสก่อน สำหรับการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันแม้ว่าจะอยู่ในช่วงกรีนซีซัน แต่ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อาทิ ออสเตรเลีย เกาหลี จีน และญี่ปุ่น เดินทางเข้ามา เนื่องจากภาครัฐและเอกชนมีการ ส่งเสริมและทำตลาดการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางมาจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.4
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยรวมชะลอตัวจากราคาน้ำมันปรับตัว สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ราคายางพาราและปาล์มน้ำมันจะอยู่ใน ระดับสูงก็ตาม โดยการจดทะเบียนใหม่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 16.0 และ 34.3 อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ไม่รวมศุลกากร) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.3 การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.8
5. การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัว ในไตรมาสนี้พื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลลดลงร้อยละ 16.5 โดยลดลง เกือบทุกประเภท1 ยกเว้นพื้นที่ก่อสร้างเพื่อการบริการที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 เนื่องจากมีการก่อสร้างโรงแรมและที่จอดรถ ที่จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานีเป็นสำคัญ ด้านการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคล จำนวนรายและทุนจดทะเบียนลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 15.6 และ 20.8 สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยมีจำนวน 20 โครงการ และเงินลงทุน 14,588.0 ล้านบาท เป็นโครงการลงทุนในภาคใต้ตอนบนจำนวน 17 โครงการ และภาคใต้ ตอนล่าง 3 โครงการ
6. การจ้างงาน มีผู้ประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดในภาคใต้ทั้งสิ้น 11,646 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.9 โดยจังหวัดสงขลามีตำแหน่งงานว่างมากที่สุด ขณะที่มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 12,966 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5 ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และมี การบรรจุงานรวม 9,340 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.0 โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีบรรจุงานมากที่สุด รองลงมาคือจังหวัดสงขลา
7. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อน โดยราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ตามการเพิ่มขึ้นของสินค้าหมวดเป็ดไก่ (11.2%) หมวด ไข่และผลิตภัณฑ์นม (6.3%) หมวดผักและผลไม้ (4.2%) และหมวดข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง (2.4%) ส่วนหมวด อื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากการสูงขึ้นของดัชนีค่าโดยสารสาธารณะ (2.2%) และหมวดยาสูบ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (1.3%) สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อน
8. การค้าต่างประเทศ การส่งออกผ่านด่านศุลกากรในภาคใต้มีมูลค่า 2,647.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.4 เป็นผลจากการส่งออกสัตว์น้ำแช่แข็ง ยางพารา อาหารกระป๋อง และถุงมือยางลดลง ร้อยละ 26.6 16.7 12.8 และ 4.3 ตามลำดับ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 1,278.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส เดียวกันปีก่อนร้อยละ 29.0 ตามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์ และสัตว์น้ำแช่แข็งที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 161.1 19.6 และ 3.5 เป็นสำคัญ
9. ภาคการคลัง ส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 30,972.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.6 เพราะส่วนราชการต่าง ๆ ได้เร่งเบิกจ่ายเงินด้านงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ที่วางไว้ประมาณร้อยละ 73 ของกรอบงบประมาณลงทุน ส่วนรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรมีจำนวน 7,832.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.7 ตามการจัดเก็บภาษีสรรพากร และภาษีภาษีศุลกากร ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 และ 11.5 ขณะที่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลดลงร้อยละ 4.6
10. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนกันยายนนี้ เงินฝากคงค้างของสาขาธนาคารพาณิชย์ คาดว่ามีจำนวนรวม 393,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.0 และสินเชื่อคงค้างมีจำนวนประมาณ 321,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก เดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.3 เป็นการเพิ่มในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง ประกอบกับ การลงทุนในภาคใต้ตอนล่างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ผู้ประกอบการ ชะลอการลงทุน ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวไม่มากนัก
แนวโน้ม ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 คาดว่า เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาพืชผลเกษตรที่สำคัญยังอยู่ใน ระดับสูง ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน และเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปี จะส่งผลให้การ ท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง คือ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเพิ่มเติม : ภูวดล เหล่าแก้ว โทร. 0 7436 7646 e-mail : phoowadl@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--