ในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมชะลอลง เป็นผลจากการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อีกทั้งการใช้จ่ายภาคเอกชนและการลงทุนชะลอตัวลงตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ ขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ด้านการผลิต ผลผลิตภาคเกษตรเพิ่มขึ้นทั้งพืชผลและประมง ส่วนการท่องเที่ยวขยายตัวในอัตราที่ ชะลอลง แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.7
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจและการเงิน มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม ผลผลิตพืชผลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน ด้านราคาพืชผลหลักลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.7 เนื่องจากราคายางพาราแผ่นดิบปรับลดลง ตามอุปสงค์ของตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรจากการจำหน่ายพืชผลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ขณะที่ไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 4.0 ด้านประมงทะเลปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น กอปรกับเรือประมงส่วนหนึ่ง ได้กลับเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของอินโดนีเซีย หลังจากสิ้นสุดสัญญาเมื่อเดือนกันยายน 2549 ส่งผลให้ปริมาณและ มูลค่าสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือในภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 และ 30.7 ตามลำดับ สำหรับผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่มีปริมาณไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากได้รับผลกระทบ จากภาวะภัยแล้ง ทำให้เกิดปัญหาโรคระบาด กอปรกับตลาดหลักชะลอการซื้อ และอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ ราคากุ้งปรับลดลงทุกขนาด อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปริมาณผลผลิตกุ้งจะเพิ่มมากขึ้นประมาณปลายไตรมาส 2
2. ภาคอุตสาหกรรม โดยรวมลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มลดลงร้อยละ 5.6 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมยาง และผลิตภัณฑ์ยาง ไม้ยางแปรรูป ถุงมือยาง และสัตว์น้ำแช่แข็ง การผลิตลดลงตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 2.6 4.5 10.1 และ 12.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมอาหารบรรจุกระป๋อง การผลิตขยายตัวตามการส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8
3. การท่องเที่ยว ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้า เมืองในภาคใต้ 829,392 คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.3 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 22.9 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก เป็นสำคัญ ส่วนภาคใต้ตอนล่างนักท่องเที่ยวลดลง โดยจังหวัดสงขลา นักท่องเที่ยวลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 สำหรับอัตราเข้าพักในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ ร้อยละ 67.6
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ชะลอตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 และ 4.0 ตามลำดับ ตามปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน ขณะที่การจดทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ลดลงร้อยละ 6.3 และ 10.1 ตามลำดับ จากปัจจัยลบด้านความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาความ ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
5. การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัวลง จากปัจจัยลบด้านราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น การเมืองที่ยังไม่นิ่ง เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน พิจารณาจากเครื่องชี้ด้านการ ก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.7 ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย และบริการ ขณะที่การก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์ลดลงร้อยละ 14.3 ด้านกิจการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมีจำนวนทั้งสิ้น 21 โครงการ ลดลงจาก 22 โครงการในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.5 แต่การจ้างงานคนไทยลดลงร้อยละ 57.8 ในจำนวนนี้เป็นการลงทุนในภาคใต้ตอนบน 13 โครงการ และภาคใต้ตอนล่าง 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในจังหวัด สงขลาถึง 6 โครงการ ส่วนการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนทั้งจำนวนราย และเงินทุน จดทะเบียน โดยลดลงร้อยละ 31.5 และ 19.2 ตามลำดับ
6. การจ้างงานไตรมาสที่ 1 ปีนี้มีผู้ประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดใน ภาคใต้ทั้งสิ้น 10,293 อัตรา ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53.2 จังหวัดที่ต้องการแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด สุราษฏร์ธานี และสงขลา ส่วนผู้สมัครงาน และการบรรจุงาน มีจำนวนทั้งสิ้น 14,398 คน และ 6,960 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 และ 10.2 ตามลำดับ
7. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ชะลอลงจากจากร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อน โดยราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดอื่น ๆ ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และ 0.8 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าหมวดข้าวสารเหนียว (58.7 %) หมวดผักและผลไม้ (20.1%) หมวด เครื่องประกอบอาหาร (4.7 %) และหมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (4.6%) เป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของ ภาคใต้ อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน
8. การค้าต่างประเทศ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีมูลค่าส่งออก 2,351.4 ล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.1 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 31.7 เนื่องจากการส่งออกชะลอลงเกือบ ทุกตัว โดยเฉพาะยางซึ่งมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.2 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.3 ในไตรมาสก่อน ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้า 1,340.1 ล้านดอลลาร์สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 48.0 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุน
9. ภาคการคลัง ไตรมาสที่ 1 ปีนี้ การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้ มีจำนวน 31,951.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 23.7 เนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณของคลังจังหวัด ได้แก่ คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช (รวมคลังจังหวัด ณ อำเภอทุ่งสง และอำเภอปากพนัง) คลังจังหวัดสงขลา และคลัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.4 25.6 และ 31.0 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจาก พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 ทำให้ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.- ธ.ค. 2549)ไม่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนหรืองบพิเศษ และเบิกจ่ายได้เพียงงบประจำ เท่าที่จำเป็น โดยเริ่มมีการเบิกจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นมา ทำให้ส่วนราชการต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าที่วาง ไว้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากร มีจำนวน 7,766.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 21.6 ตามการจัดเก็บภาษีศุลกากร ภาษีสรรพากร และภาษีสรรพสามิต ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 22.8 และ 1.0 ตามลำดับ
10. ภาคการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการออกผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้องการลูกค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ การขยายสินเชื่อชะลอตัวลง ส่วนใหญ่จะเน้นกลุ่มลูกค้ารายเก่าที่มีประวัติทางการเงินดี และกลุ่มสินเชื่อที่มีแหล่งรายได้ที่ แน่นอนเป็นหลัก ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอลง รวมทั้งปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะมีเงินฝากคงค้างประมาณ 388,000 ล้านบาท และสินเชื่อคงค้างประมาณ 312,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.1 และ 15.3 ตามลำดับ
ข้อมูลเพิ่มเติม : อุษณี ปรีชม โทร. 0 7436 7648 e-mail : usaneep@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจและการเงิน มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม ผลผลิตพืชผลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน ด้านราคาพืชผลหลักลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.7 เนื่องจากราคายางพาราแผ่นดิบปรับลดลง ตามอุปสงค์ของตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรจากการจำหน่ายพืชผลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ขณะที่ไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 4.0 ด้านประมงทะเลปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น กอปรกับเรือประมงส่วนหนึ่ง ได้กลับเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของอินโดนีเซีย หลังจากสิ้นสุดสัญญาเมื่อเดือนกันยายน 2549 ส่งผลให้ปริมาณและ มูลค่าสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือในภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 และ 30.7 ตามลำดับ สำหรับผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่มีปริมาณไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากได้รับผลกระทบ จากภาวะภัยแล้ง ทำให้เกิดปัญหาโรคระบาด กอปรกับตลาดหลักชะลอการซื้อ และอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ ราคากุ้งปรับลดลงทุกขนาด อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปริมาณผลผลิตกุ้งจะเพิ่มมากขึ้นประมาณปลายไตรมาส 2
2. ภาคอุตสาหกรรม โดยรวมลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มลดลงร้อยละ 5.6 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมยาง และผลิตภัณฑ์ยาง ไม้ยางแปรรูป ถุงมือยาง และสัตว์น้ำแช่แข็ง การผลิตลดลงตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 2.6 4.5 10.1 และ 12.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมอาหารบรรจุกระป๋อง การผลิตขยายตัวตามการส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8
3. การท่องเที่ยว ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้า เมืองในภาคใต้ 829,392 คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.3 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 22.9 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก เป็นสำคัญ ส่วนภาคใต้ตอนล่างนักท่องเที่ยวลดลง โดยจังหวัดสงขลา นักท่องเที่ยวลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 สำหรับอัตราเข้าพักในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ ร้อยละ 67.6
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ชะลอตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 และ 4.0 ตามลำดับ ตามปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน ขณะที่การจดทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ลดลงร้อยละ 6.3 และ 10.1 ตามลำดับ จากปัจจัยลบด้านความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาความ ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
5. การลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัวลง จากปัจจัยลบด้านราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น การเมืองที่ยังไม่นิ่ง เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน พิจารณาจากเครื่องชี้ด้านการ ก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.7 ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย และบริการ ขณะที่การก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์ลดลงร้อยละ 14.3 ด้านกิจการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมีจำนวนทั้งสิ้น 21 โครงการ ลดลงจาก 22 โครงการในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.5 แต่การจ้างงานคนไทยลดลงร้อยละ 57.8 ในจำนวนนี้เป็นการลงทุนในภาคใต้ตอนบน 13 โครงการ และภาคใต้ตอนล่าง 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในจังหวัด สงขลาถึง 6 โครงการ ส่วนการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนทั้งจำนวนราย และเงินทุน จดทะเบียน โดยลดลงร้อยละ 31.5 และ 19.2 ตามลำดับ
6. การจ้างงานไตรมาสที่ 1 ปีนี้มีผู้ประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดใน ภาคใต้ทั้งสิ้น 10,293 อัตรา ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53.2 จังหวัดที่ต้องการแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด สุราษฏร์ธานี และสงขลา ส่วนผู้สมัครงาน และการบรรจุงาน มีจำนวนทั้งสิ้น 14,398 คน และ 6,960 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 และ 10.2 ตามลำดับ
7. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ชะลอลงจากจากร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อน โดยราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดอื่น ๆ ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และ 0.8 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าหมวดข้าวสารเหนียว (58.7 %) หมวดผักและผลไม้ (20.1%) หมวด เครื่องประกอบอาหาร (4.7 %) และหมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (4.6%) เป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของ ภาคใต้ อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน
8. การค้าต่างประเทศ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีมูลค่าส่งออก 2,351.4 ล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.1 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 31.7 เนื่องจากการส่งออกชะลอลงเกือบ ทุกตัว โดยเฉพาะยางซึ่งมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.2 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.3 ในไตรมาสก่อน ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้า 1,340.1 ล้านดอลลาร์สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 48.0 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุน
9. ภาคการคลัง ไตรมาสที่ 1 ปีนี้ การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้ มีจำนวน 31,951.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 23.7 เนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณของคลังจังหวัด ได้แก่ คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช (รวมคลังจังหวัด ณ อำเภอทุ่งสง และอำเภอปากพนัง) คลังจังหวัดสงขลา และคลัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.4 25.6 และ 31.0 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจาก พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 ทำให้ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.- ธ.ค. 2549)ไม่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนหรืองบพิเศษ และเบิกจ่ายได้เพียงงบประจำ เท่าที่จำเป็น โดยเริ่มมีการเบิกจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นมา ทำให้ส่วนราชการต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าที่วาง ไว้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากร มีจำนวน 7,766.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 21.6 ตามการจัดเก็บภาษีศุลกากร ภาษีสรรพากร และภาษีสรรพสามิต ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 22.8 และ 1.0 ตามลำดับ
10. ภาคการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการออกผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้องการลูกค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ การขยายสินเชื่อชะลอตัวลง ส่วนใหญ่จะเน้นกลุ่มลูกค้ารายเก่าที่มีประวัติทางการเงินดี และกลุ่มสินเชื่อที่มีแหล่งรายได้ที่ แน่นอนเป็นหลัก ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอลง รวมทั้งปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะมีเงินฝากคงค้างประมาณ 388,000 ล้านบาท และสินเชื่อคงค้างประมาณ 312,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.1 และ 15.3 ตามลำดับ
ข้อมูลเพิ่มเติม : อุษณี ปรีชม โทร. 0 7436 7648 e-mail : usaneep@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--