การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ข่าวกฏหมายและประกาศ Monday January 10, 2005 10:25 —ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย

                                              10  มกราคม  2548 
เรียน ผู้จัดการ
ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ที่ ธปท.สกง.(04) ว. 36 /2548 เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการที่ประสบปัญหาในครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษในรูปของเงินทุนหมุนเวียนด้วยวิธีการให้กู้ยืมเงินแก่ธนาคารพาณิชย์โดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบกิจการดังกล่าวเป็นประกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการได้บรรเทาภาระทางการเงินสำหรับยอดสินเชื่อคงค้าง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. ในหนังสือนี้
"ธปท." หมายความว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย
"กิจการ" หมายความว่า กิจการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และมีสถานประกอบการอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
"ผู้ประกอบกิจการ" หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน
ข้อ 2. ธปท. จะให้กู้ยืมเงินแก่ธนาคารพาณิชย์ในอัตราเต็มตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบกิจการที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อไว้และนำมาวางเป็นประกันทุกฉบับรวมกัน โดย ธปท. จะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี สำหรับจำนวนเงินที่ให้กู้ยืม
ข้อ 3. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์นำมาวางเป็นประกันตามหนังสือนี้ ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบ
(2) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบกิจการอันสุจริต
(3) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบกิจการที่ธนาคารพาณิชย์อนุมัติให้เป็นผู้ที่พึงเชื่อถือได้ และ ธปท. เห็นสมควรให้ความอนุเคราะห์
(4) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกเป็นเงินบาท แต่ละฉบับมีจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) และต้องไม่มีเศษของหลักพัน
(5) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถึงกำหนดใช้เงินไม่เกินกำหนดเวลานับแต่วันที่ออก
ตั๋วสัญญาใช้เงินในแต่ละกรณี ดังนี้
ก. กรณีกิจการการผลิต ไม่เกิน 360 วัน
ข. กรณีกิจการอื่นๆ ไม่เกิน 180 วัน
(6) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินสำหรับ ยอดสินเชื่อคงค้างที่มีอยู่กับธนาคารพาณิชย์
(7) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีจำนวนเงินไม่เกินจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบกิจการ
(8) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อและชำระเงินแล้วเต็มตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงิน
(9) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี
(10) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้สลักหลังเฉพาะโอนให้ ธปท.
ข้อ 4. การพิจารณาวงเงินอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบกิจการแต่ละราย ให้อยู่ในดุลพินิจของแต่ละธนาคารพาณิชย์
ข้อ 5. ธปท. จะให้ความอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบกิจการแต่ละรายตามหนังสือนี้ โดยตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับสุดท้ายต้องถึงกำหนดใช้เงินไม่เกินวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549
ข้อ 6. ในการกู้ยืมเงินแต่ละครั้ง ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ทำหนังสือความตกลงเพื่อกู้ยืมเงินตามแบบที่แนบ
(2) ส่งมอบตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถูกต้องตามข้อ 3. ให้ ธปท. เพื่อวางเป็นประกัน
(3) ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
ก. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบ
ข. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีจำนวนเงินเท่ากับจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงิน
ที่วางเป็นประกันทุกฉบับรวมกัน
ค. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถึงกำหนดใช้เงินไม่เกิน 360 วัน นับแต่วันที่
ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และวันเดียวกับวันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางเป็นประกันฉบับที่ถึงกำหนดใช้เงินแรกสุด
ง. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี
ข้อ 7. เมื่อ ธปท. ตกลงให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงินตามหนังสือนี้แล้ว ธปท. จะนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ ธปท. และเมื่อ ธปท. ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้วให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้รับเงินกู้ยืมจาก ธปท. แล้ว
ในกรณีที่ ธปท. พิจารณาให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงินไม่เต็มตามจำนวนเงินที่ขอกู้ยืมในข้อ 6.(3) ข. เนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางเป็นประกันไม่เป็นไปตามข้อ 3. หรือด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่และให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินเท่ากับจำนวนเงินกู้ยืมที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับในครั้งนั้น
ข้อ 8. ในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ถึงกำหนดใช้เงินหรือในวันที่มีการขอชำระหนี้หรือวันที่ ธปท. เรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนด ธปท. จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ ธปท. ตามจำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระหรือจำนวนหนี้ที่ขอชำระหรือจำนวนหนี้ที่ ธปท. เรียกให้ชำระก่อนกำหนด แล้วแต่กรณี รวมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี)
ในกรณีที่วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารพาณิชย์ตรงกับวันหยุด ทำการ ธปท. จะเรียกเก็บดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี) สำหรับวันหยุดดังกล่าวด้วย
ข้อ 9. ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ต้องปฏิบัติและยินยอมรับพันธะหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้ประกอบกิจการสำหรับจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงิน
ไม่เกินอัตราที่กำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน และเรียกเก็บในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินหรือ วันที่มีการชำระหนี้
(2) ยินยอมให้ ธปท. หักเงินจากบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ ธปท. เพื่อ
ชำระหนี้อันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ ธปท. ให้กู้ยืมเงินตามหนังสือนี้ และในกรณีที่เงินในบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไม่มีหรือมีไม่พอหักชำระหนี้ดังกล่าว ให้ ธปท. จำหน่ายทรัพย์สินอย่างอื่นของ ธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ที่ ธปท. และดำเนินการอื่นใดตามที่ ธปท. เห็นสมควรเพื่อให้ได้เงินมาชำระหนี้ตลอดจนยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของ ธปท. เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ ให้กู้ยืมเงินตามหนังสือนี้ ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งดำเนินการให้ผู้ประกอบกิจการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของ ธปท. เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์นำมาวางเป็นประกันการกู้ยืมเงินตามหนังสือนี้ ณ สำนักงานของผู้ประกอบกิจการได้ด้วย
(3) ยินยอมให้ ธปท. หักบัญชีเงินฝากที่ดำรงไว้ที่ ธปท. โดยจะจัดให้มีเงิน
เพียงพอสำหรับหักชำระหนี้ในวันที่ครบกำหนดหรือวันที่ชำระหนี้
(4) ส่งหนังสือแจ้งรายชื่อผู้ประกอบกิจการที่ธนาคารพาณิชย์อนุมัติให้เป็นผู้ประกอบกิจการที่พึงเชื่อถือได้พร้อมวงเงินตามแบบที่แนบเพื่อให้ ธปท. พิจารณาให้ความเห็นชอบในการให้ความอนุเคราะห์ทางการเงิน
(5) จัดให้ผู้ประกอบกิจการที่ขอรับความอนุเคราะห์ตามหนังสือนี้รับรู้ข้อกำหนดแห่งหนังสือนี้
(6) ตรวจสอบและรับรองว่า
ก. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์นำมาวางเป็นประกันและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ถูกต้องตามข้อ 3. และข้อ 6.(3) ทุกประการ
ข. จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารพาณิชย์นำมาวางเป็นประกัน เมื่อรวมกับจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบกิจการรายเดียวกัน ซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้นำมาวางเป็นประกันไว้แล้วต้องไม่เกินวงเงินที่ธนาคารพาณิชย์อนุมัติให้สินเชื่อตามที่ได้แจ้งไว้ แก่ ธปท.
ค. ผู้ประกอบกิจการได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จริง
(7) เมื่อธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนวันที่ตั๋ว สัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน ธนาคารพาณิชย์ต้องทำหนังสือขอชำระหนี้ตามแบบที่แนบยื่นต่อ ธปท.
ข้อ 10. เมื่อธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งหนังสือนี้ ธปท. จะเรียกเก็บเบี้ยปรับจากธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญา ใช้เงินที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติและตามระยะเวลาที่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ ธปท. ให้กู้ยืม จนถึงวันที่มีการชำระหนี้ หรือตามระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี
ถ้าสาเหตุที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเสียเบี้ยปรับเกิดขึ้นเพราะความผิดของผู้ประกอบ กิจการผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ธนาคารพาณิชย์จะไล่เบี้ยจากผู้ประกอบกิจการผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ได้ไม่เกินจำนวนเงินเบี้ยปรับที่ ธปท. เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ และถ้า ธปท. คืนเบี้ยปรับให้แก่ธนาคารพาณิชย์เป็นจำนวนเงินเท่าใด ธนาคารพาณิชย์ต้องคืนเบี้ยปรับตามจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่ ผู้ประกอบกิจการผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
ข้อ 11. ธปท. อาจพิจารณางด ลด หรือคืนเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามหนังสือนี้ ตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ 12. เมื่อ ธปท. ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์แล้ว หากปรากฏในภายหลังว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งหนังสือนี้ ธปท. สงวนสิทธิ ที่จะเรียกเก็บเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติดังกล่าว
ข้อ 13. ธปท. สงวนสิทธิที่จะไม่ให้กู้ยืมเงิน ลดจำนวนเงินที่จะให้กู้ยืม หรือเรียกให้ ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนวันถึงกำหนดใช้เงิน เมื่อมีกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เมื่อ ธปท. เห็นว่าธนาคารพาณิชย์ที่กู้ยืมเงินปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(2) เมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์ตามข้อ 9.(2)
(3) เมื่อ ธปท. เห็นว่าธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบกิจการผู้ออกตั๋วสัญญา ใช้เงินฝ่าฝืนหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหนังสือนี้ หรือมีพฤติการณ์ในทำนองไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหนังสือนี้
(4) มีเหตุไม่สมควรประการอื่น
ข้อ 14. ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งหนังสือขอความเห็นชอบให้ความอนุเคราะห์ทางการเงิน แก่ผู้ประกอบกิจการที่พึงเชื่อถือได้ตามหนังสือนี้ให้แก่ ธปท. เพื่อขอความเห็นชอบ ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นวันสุดท้าย
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล)
ผู้ว่าการ
ส่วนสินเชื่อ
สายตลาดการเงิน
โทร. 0 2283 5414-6, 0 2283 5148
หมายเหตุ ไม่จัดประชุมชี้แจง
สกงว10กส6320125480110

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ