ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนมกราคม 2564ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.2เทียบกับระดับ 46.3 ในเดือนก่อนหน้าเป็นการปรับตัวลดลงทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน ปรับตัวลดลงจากระดับ 39.3 มาอยู่ที่ระดับ 36.3 สาเหตุมาจากความกังวลต่อการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ ซึ่งมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากกว่ารอบแรก และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ แต่ได้มีการประกาศมาตรการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในบางพื้นที่ตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังคงดำเนินการต่อไปได้ ประกอบกับเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากวัคซีนที่จะเริ่มใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 64 และการค้าโลกที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วง การระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในรอบแรก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต พบว่าปรับลดลงจากระดับ 50.9มาอยู่ที่ระดับ 47.7 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภาค
เมื่อพิจารณารายภูมิภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงในทุกภูมิภาค โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลปรับตัวลดลงจากระดับ 45.4มาอยู่ที่ระดับ 38.7 ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ คาดว่าสาเหตุมาจากการระบาดของไวรัส Covid-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ควบคุมการแพร่ระบาดระดับสูงสุด มีการประกาศปิดสถานศึกษา และห้ามดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายกิจกรรม ส่วนภาคกลางปรับตัวลดลงจากระดับ 46.8 มาอยู่ที่ระดับ 43.5 ภาคเหนือ จากระดับ 44.7 มาอยู่ที่ระดับ 42.6 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากระดับ 47.5 มาอยู่ที่ระดับ 44.5 และภาคใต้ จากระดับ 46.3มาอยู่ที่ระดับ 43.3 หมายเหตุ:ตั้งแต่เดือนมกราคม 62 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เริ่มใช้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีการปรับปรุงใหม่ (REV. CCI 2019) ซึ่งมีการปรับปรุง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำแนกรายอาชีพ
เมื่อพิจารณาจำแนกรายอาชีพ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกกลุ่มอาชีพ เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มไม่ได้ทำงานและกลุ่มรับจ้างอิสระได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส Covid-19 มากที่สุดและมีความเชื่อมั่นต่ำที่สุด สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการระงับกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะกิจการขนาดเล็ก ซึ่งกลุ่มไม่ได้ทำงานปรับลดลงจากระดับ 41.8 มาอยู่ที่ 37.2 รองลงมาคือ รับจ้างอิสระ จากระดับ 43.7 มาอยู่ที่ระดับ 39.9 กลุ่มพนักงานเอกชนจากระดับ 45.1 มาอยู่ที่ 41.5 กลุ่มนักศึกษาจากระดับ 43.4 มาอยู่ที่ 42.0 กลุ่มผู้ประกอบการจากระดับ 46.2มาอยู่ที่ระดับ 43.8กลุ่มเกษตรกรจากระดับ 47.2มาอยู่ที่ระดับ 44.3และกลุ่มพนักงานของรัฐจากระดับ 52.5มาอยู่ที่ระดับ 49.3
ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์