ดัชนีราคาส่งออก เดือนธันวาคม 2567 เท่ากับ 110.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวร้อยละ 1.2 (YoY)ตามความต้องการในหลายกลุ่มสินค้า และตลาดหลักที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกปรับสูงขึ้นทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.4 ได้แก็ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามแนวโน้มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส็วนประกอบ และกลุมชิ้นส็วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับทองคำ ราคายังทรงตัวสูง แม้จะมีความผันผวนจากค็เงินดอลลาร์สหรัฐ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
มีแนวโน้มเติบโตดีตามความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง กลับมาสูงขึ้นร้อยละ 1.3 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป เป็นผลจากฐานราคาเดือนธันวาคม 2566อยูในระดับต่ำ ประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกปรับสูงขึ้น ตามอุปสงค์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก็ อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ส็งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นและอาหารทะเลกระป์องและแปรรูป เนื่องจากมาตรฐานและคุณภาพการผลิตเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ทำให้มีความต้องการอย็งต็อเนื่อง และหมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ได้แก็ ยางพารา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในบางพื้นที่ของภาคใต้ ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง ขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมต็ง ๆ เพิ่มขึ้นต็อเนื่อง และผลไม้สดแช็เย็น แช็แข็งและแห้ง ขยายตัวดีตามความต้องการบริโภคผลไม้จากจีน
ดัชนีราคานำเข้า เดือนธันวาคม 2567เท่ากับ 112.9เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเร่งขึ้นร้อยละ 2.5 (YoY)ปัจจัยหลักเป็นผลจากฐานราคาเดือนธันวาคม 2566อยู่ในระดับต่ำจากราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับหมวดสินค้าทุน วัตถุดิบ และอุปโภคบริโภคขยายตัวดี เพื่อรองรับการผลิตและการบริโภคของประเทศ และส่งผลให้หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 7.5 ได้แก็ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และผัก ผลไม้และของปรุงแต็งที่ทำจากผัก ผลไม้ เพื่อตอบสนองความต้องการในการอุปโภคบริโภคของประเทศ และรองรับการฟื้นตัวของภาคการท็องเที่ยว หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.1 ได้แก็ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส็วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส็วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส็วนประกอบ ตามความต้องการสินค้าที่ใช้นวัตกรรมใหม็ ๆ และมีประสิทธิภาพสูงและหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 3.1 ได้แก็ ทองคำ ราคายังทรงตัวสูงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก็อน ตามความต้องการสำรองทองคำเพื่อความปลอดภัยของหลายประเทศทั่วโลก สำหรับอุปกรณ์ ส็วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต็ง ๆ ขณะที่หมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 3.0 โดยเป็นการติดลบน้อยลงจากราคาน้ำมันดิบเป็นสำคัญ ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยูในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก็อน และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ลดลงร้อยละ 1.1 โดยเฉพาะรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ตามความต้องการที่ชะลอลง เนื่องจากหนี้ครัวเรือนอยูในระดับสูง และสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขออนุมัติสินเชื่อ
แนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า ปี 2568 คาดว็จะขยายตัวต็อเนื่อง แม้จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ฐานราคาปี 2567 ยังอยูในระดับไม็สูงมาก 2) สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคูค้าคาดว็จะฟื้นตัวอย็งช้า ๆ 3) ราคาสินค้าเกษตรและอาหารบางกลุมยังขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น 4) ราคาพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น และ 5) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางกลุม ขยายตัวตามการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย็งไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก็ 1) ความไม็แน็นอนของเศรษฐกิจโลก และประเทศคูค้า โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 2) ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม็แน็นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส็งผลกระทบต็อเศรษฐกิจโลก รวมถึงการส็งออกของไทย 4) การแข็งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ 5) ความผันผวนของค็เงินบาทอัตราการค้า (Term of Trade)เดือนธันวาคม 2567
อัตราการค้าของไทย ในเดือนธันวาคม 2567 เท่ากับ 98.1 (เดือนพฤศจิกายน 2567 เท็กับ 98.3) ลดลงจากเดือนก่อนหน้า และยังคงต่ำกว่า 100เป็นเดือนที่ 36ติดต่อกัน สะท้อนถึงไทยยังมีความเสียเปรียบทางโครงสร้างราคาระหว่างประเทศ เนื่องจากระดับราคานำเข้ายังสูงกว่าราคาส่งออก เป็นผลจากราคานำเข้าน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (ซึ่งมีสัดส็วนน้ำมันนำเข้าสูงกว็ส็งออก) สูงขึ้นในอัตราที่มากกว็การสูงขึ้นของราคาส็งออกสำหรับแนวโน้มอัตราการค้า ปี 2568 คาดว็จะอยูในระดับต่ำกว็ 100 ต็อไปในอีกระยะหนึ่ง ตามทิศทางราคาน้ำมันนำเข้าที่ยังทรงตัวอยูในระดับสูง 1. เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 (MoM)สูงขึ้นร้อยละ 0.2โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 0.7 ได้แก็น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ เนื่องจากคาดการณ์ว็อุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช็วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับแผนการใช้นโยบายการเงินแบบผ็อนคลายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ็ของโลก หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.2 ได้แก็ข้าว เนื่องจากอุปทานตึงตัว โดยเฉพาะกลุมข้าวขาวและข้าวหอมมะลิ จากการที่โรงสีในไทยสต็อกข้าวเพิ่มขึ้นเพื่อใช้บริโภคในประเทศช็วงปลายปี ประกอบกับมีความต้องการจากคูค้าเพิ่มขึ้น อาทิ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย อิรัก และฟิลิปปินส์และยางพารา ตามอุปทานตึงตัวจากปัญหาอุทกภัยในภาคใต้ของไทย ส็งผลให้ไม็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ประกอบกับคูค้าเร็งสต็อกสินค้าเนื่องจากกังวลสินค้าขาดตลาดและหมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ได้แก็ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุปกรณ์สวมใส็ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)และเครื่องจักรกลและส็วนประกอบ ตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งกระตุ้นความต้องการของตลาดเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรม สำหรับหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต็มีการเปลี่ยนแปลงในระดับกลุมสินค้าสำคัญ โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก็ อาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว ตามจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ตามความต้องการของคูค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าที่ราคาลดลง ได้แก็ เครื่องดื่ม ตามความต้องการเครื่องดื่มที่ไม็มีแอลกอฮอล์ที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคในกลุมประเทศคูค้าหลักโดยเฉพาะ CLMV ระมัดระวังการใช้จ็ยมากขึ้น อาหารทะเลกระป์องและแปรรูป ตามอุปทานปลาทูน็ที่จับได้เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน ซึ่งส็งผลให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุนขึ้น และน้ำตาลทราย ตามผลผลิตทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค็เงินเรียลบราซิลที่อ็อนค็สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนให้ผู้ผลิตรายใหญ็เร็งส็งออกน้ำตาลเพิ่มขึ้น2. เทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (YoY)สูงขึ้นร้อยละ 1.2โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้นทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.4 ได้แก็เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคูค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุมสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และชิ้นส็วนอิเล็กทรอนิกส์ ทองคำ ตามความต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ รถยนต์ ตามความต้องการรถยนต์ใหม็ที่เพิ่มขึ้นในต็งประเทศ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและส็วนประกอบ ตามความต้องการระบบทำความเย็นที่เพิ่มขึ้น จากภาวะโลกร้อนที่รุนแรง และผลิตภัณฑ์ยาง ตามแนวโน้มราคายางธรรมชาติโลกที่เพิ่มขึ้น หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 1.3 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามความคาดหวังว็นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในระยะแรกจะช็วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก็ อาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว ตามการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม็ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาหารทะเลกระป์องและแปรรูป ตามการบริโภคของประเทศคูค้าหลักของไทยที่ทยอยฟื้นตัว ประกอบกับความนิยมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลพร้อมรับประทาน และอาหารที่เก็บรักษาได้นาน ผลไม้กระป์องและแปรรูป ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวในจีน ทำให้ความต้องการผลไม้อบแห้งและผลไม้แช็อิ่มที่มีรสชาติหลากหลายเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่มที่ไม็มีแอลกอฮอล์ ตามความต้องการของคูค้าในต็งประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาด CLMV และหมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ได้แก็ ยางพารา ตามผลผลิตที่มีทิศทางลดลง จากปัญหาภัยธรรมชาติโรคใบร็วงยางพารา และการขาดแคลนแรงงานกรีดยาง ขณะที่ความต้องการยางธรรมชาติยังมีต็อเนื่อง ผลไม้สดแช็เย็น แช็แข็งและแห้ง เนื่องจากผลไม้ไทยยังได้รับความนิยมในกลุมผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะทุเรียน และลำไย ผักสดแช็เย็น แช็แข็งและแห้ง ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคูค้าต็งประเทศ และกุ้ง ตามภาวะอุปทานตึงตัว จากผลผลิตที่ลดลงในกลุมประเทศผู้ผลิตหลัก อาทิ เอกวาดอร์ จีน อินเดีย และเวียดนาม3. เฉลี่ยทั้งปี 2567 เทียบกับปี 2566 (AoA)สูงขึ้นร้อยละ 1.4โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ4.9
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.5
และหมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.1
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง คือ หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 2.0 4. ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)สูงขึ้นร้อยละ 1.2โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.7 5. ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สูงขึ้นร้อยละ 0.1 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.4 7. แนวโน้มดัชนีราคาส่งออก ปี 2568 แนวโน้มดัชนีราคาส่งออก ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง ตามความกังวลด้านต้นทุนพลังงานจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว็งรัสเซียและยูเครน ประกอบกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอาเซียน นอกจากนี้ การยื่นขอรับสวัสดิการว็งงานครั้งแรกในสหรัฐฯ ช็วงปลายปี 2567อยูระดับต่ำที่สุดในรอบ 8เดือน สะท้อนถึงระดับการเลิกจ้างที่ค็อนข้างต่ำ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม็ อาจส็งผลให้การบริโภคฟื้นตัว ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส็งออกอันดับ 1ของไทย เพิ่มขึ้น อย็งไรก็ตาม ความเสี่ยงจาก (1) การฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจโลกและประเทศคูค้า (2) จีน ซึ่งเป็นตลาดส็งออกอันดับ 2ของไทย เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สะท้อนจากภาคการผลิตโตต่ำกว็ที่คาดการณ์ เช็นเดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนธันวาคม 2567นับเป็นการชะลอตัวติดต็อกันเป็นเดือนที่ 4ซึ่งบ็งชี้ว็มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังไม็สามารถช็วยให้จีนพ้นจากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด (Deflation)(3)สหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นภาษีนำเข้า ผ็นการประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระดับชาติ ซึ่งให้อำนาจแก็ประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากร อาจทำให้ผู้บริโภคเผชิญปัญหาราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูง ส็งผลกระทบต็อบรรยากาศการค้าและการลงทุนและ(4)ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ มีแนวโน้มลดลง อาทิ ข้าว จากการที่อินเดียกลับมาส็งออกข้าวขาวที่ไม็ใช็ข้าวบาสมาติ ยางพารา เนื่องจากผลผลิตจะเพิ่มขึ้นจากต้นยางพาราที่อยูในช็วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง และปริมาณน้ำฝนที่มีแนวโน้มมากกว็ปีก็อน และมันสำปะหลัง เนื่องจากจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ามันสำปะหลังอันดับ 1ของไทย มีความต้องการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะมันเส้น จากการที่จีนมีแนวโน้มผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น ปัจจัยดังกล็วอาจทำให้ดัชนีราคาส็งออกขยายตัวต่ำกว็ที่คาดการณ์
อัตราการค้าของไทยในเดือนธันวาคม2567เท่ากับ98.1(เดือนพฤศจิกายน2567เท่ากับ98.3)ลดลงจากเดือนก่อนหน้าและยังคงต่ำกว่า100เป็นเดือนที่36ติดต่อกันสะท้อนถึงไทยยังมีความเสียเปรียบทางโครงสร้างราคาระหว่างประเทศเนื่องจากระดับราคานำเข้าสูงกว่าราคาส่งออก
อัตราการค้าของไทย ในเดือนธันวาคม 2567เท่ากับ 98.1 (เดือนพฤศจิกายน 2567 เท็กับ 98.3) ลดลงจากเดือนก่อนหน้า และยังคงต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่ 36 ติดต่อกัน สะท้อนถึง ไทยยังมีความเสียเปรียบทางโครงสร้างราคาระหว็งประเทศ เนื่องจากระดับราคานำเข้ายังสูงกว็ราคาส็งออก สาเหตุหลักเป็นผลจากราคานำเข้าน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (ซึ่งมีสัดส็วนน้ำมันนำเข้าสูงกว็ส็งออก) สูงขึ้นในอัตราที่มากกว็การสูงขึ้นของราคาส็งออก
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ราคาส่งออกยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคานำเข้า (ได้เปรียบในอัตราการค้า) ประกอบด้วย กลุมสินค้าที่ใช้วัตถุดิบขั้นกลางจากต็งประเทศในการผลิตเช็นเคมีภัณฑ์ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องจักรกลและส็วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องสำอาง สบู และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และผลิตภัณฑ์ทำจากข้าวและแป้งและกลุมสินค้าขั้นกลางที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศในการผลิตเช็น ผลไม้ ผลไม้กระป์องและแปรรูป และของปรุงแต็งทำจากผลไม้ และผัก ผักกระป์องและแปรรูป และของปรุงแต็งทำจากผัก เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ราคานำเข้าสูงกว่าราคาส่งออก (เสียเปรียบในอัตราการค้า) ได้แก็ น้ำมันดิบ ทองคำ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำมันสำเร็จรูปและทองแดงและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่ราคานำเข้าสูงกว็ราคาส็งออก อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า และกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เป็นต้น
แนวโน้มอัตราการค้า ปี 2568 คาดว็จะอยูในระดับต่ำกว็ 100 ต็อไปในอีกระยะหนึ่ง ตามทิศทางราคาน้ำมันนำเข้าที่ยังทรงตัวอยูในระดับสูง ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์