สถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบางบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมกราคม 2553 จำนวน 2,126 ราย ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 20.7 เป็น 25.1 ดัชนีมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่มีความเปราะบาง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากภาคการผลิตหลายสาขามีการปรับตัวดีขึ้นทำให้อัตราการว่างงานลดลง กอปรกับคณะรัฐมนตรีมีมติพิจารณาปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ รวมทั้งปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวขยายตัวดีขึ้น รายได้เกษตรกรดีขึ้นและการว่างงานลดลง ส่งผลให้ประชาชนเริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหาการระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่รัฐบาลยังหาข้อสรุปของปัญหาไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมของปีที่ผ่านมาค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 13.1 เป็น 25.1 เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดสูงขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้และกำลังซื้อของเกษตรกร รวมทั้งภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้ภาคแรงงานปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 11.9 เป็น 16.7 เนื่องจากการขยาย 5 มาตรการการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนต่อไปอีก 3 เดือนรวมทั้งงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งเริ่มมีการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 26.6 เป็น 30.7 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนมกราคม 2553 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 31.24 บาท เป็น 32.24 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 25.79 บาท เป็น 26.39 บาท
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 16.0 “ไม่ดี” ร้อยละ 57.2
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 23.3 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 39.1
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 9.0 “หางานยาก” ร้อยละ 68.7
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 9.5 “หางานยาก” ร้อยละ 62.1
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 19.6 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 27.5
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2553 ปรากฏว่า ประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 13.4 เป็น 23.1 ภาคเหนือ จาก 21.4 เป็น 22.6 ภาคตะวันออก จาก 23.8 เป็น 30.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 24.7 เป็น 28.1 และภาคใต้ จาก 23.5 เป็น 30.1 เป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ยางพารา ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น ทำให้รายได้และกำลังซื้อของเกษตรกรสูงขึ้น
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ ภาคกลาง จาก 18.4 เป็น 18.0 เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน
หน่วย:ร้อยละ
พื้นที่ ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน การว่างงาน ค่าครองชีพ เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น ยาเสพติด ประเทศไทย 16.4 16.4 12.8 13.7 11.3 8.1 6.5 กรุงเทพฯ/ปริมณฑล 14.3 15.2 14.0 14.7 11.8 7.8 5.7 ภาคกลาง 16.0 15.8 13.4 12.2 10.5 10.9 8.4 ภาคเหนือ 15.2 16.2 12.6 14.0 13.1 7.2 6.6 ภาคตะวันออก 17.8 15.0 15.3 13.5 12.0 7.7 5.5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18.7 18.7 10.6 12.6 10.7 7.9 5.7 ภาคใต้ 17.0 16.1 13.3 14.6 10.0 7.9 7.0
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติดตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพและราคาสินค้า
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและการว่างงาน
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ การว่างงานและราคาน้ำมัน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ดูแลปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงเกินไป
2. ต้องการให้รัฐบาลสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับคนว่างงานเพื่อช่วยลดปัญหาการว่างงาน
3. แก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้นอกระบบและปัญหาการคอรัปชั่น
4. ดูแลนโยบายประกันรายได้ของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพียงพอและเป็นธรรม
5. หาแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกทางการเมือง รวมทั้งปลูกจิตสำนึกสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ
6. แก้ไขปัญหาการลงทุนในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th