รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน มีนาคม 2553

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 5, 2010 12:15 —สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า

การชุมนุมที่ยืดเยื้อและปัญหาภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น

การชุมนุมที่ยืดเยื้อและปัญหาภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมีนาคม 2553 จำนวน 2,195 ราย ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 24.9 เป็น 18.6 โดยดัชนีมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อสร้างความกังวลให้กับประชาชนและนักลงทุนรวมทั้งภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยมีการยกเลิกการจองที่พัก ส่งผลต่อการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ อย่างไรก็ตามภาคการส่งออกยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น เช่น ยางพารา เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมของปีที่ผ่านมา ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.1 เป็น 18.6 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลอดจนรายได้ของเกษตรกรและการจ้างงานมีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าพิจารณาในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ามีการปรับตัวลดลงจาก 17.3 เป็น 13.3 เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่แน่ใจในสถานการณ์การเมือง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเนื่องจากคนไทยหันไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3เดือน) ปรับตัวลดลงจาก 29.9 เป็น 22.1 เนื่องจากประชาชนยังมีความวิตกกังวลในสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาภัยแล้งที่กระทบต่อภาคการเกษตรอย่างมาก

เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนมีนาคม 2553 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 33.34 บาท เป็น 33.14 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 27.49 บาท เป็น 27.59 บาท

เมื่อพิจารณาสัดส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรากฏว่าในเดือนมีนาคม 2553
  • สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 11.9 “ไม่ดี” ร้อยละ 59.9
  • สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 14.7 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 47.0
  • ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.6 “หางานยาก” ร้อยละ 67.7
  • ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 6.7 “หางานยาก” ร้อยละ 66.2
  • รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 15.3 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 30.5

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคม 2553 ปรากฏว่า ประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ ภาคตะวันออกจาก 25.4 เป็น 32.2 เป็นผลมาจากปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศาลได้มีมาตรการยกเว้นหรือปลดออกจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไปแล้วกว่า 30 โครงการ

ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 21.0 เป็น 10.6 ภาคกลาง จาก 27.0 เป็น 20.8 ภาคเหนือ จาก 19.3 เป็น 16.3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 30.9 เป็น 27.0 และภาคใต้ จาก 28.0 เป็น 18.9 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมที่ยืดเยื้อ รวมทั้งปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาทำให้ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ปัญหาที่ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไข เป็นดังนี้

หน่วย:ร้อยละ

     พื้นที่          ราคาสินค้า   ราคาน้ำมัน   การว่างงาน   ค่าครองชีพ   เศรษฐกิจทั่วไป   คอรัปชั่น   ยาเสพติด
ประเทศไทย            15.4       16.2       12.1        13.0        11.4        8.2      7.4
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล       13.1       13.6       13.4        13.5        10.9        8.9      7.7
ภาคกลาง              18.1       17.2       12.3        12.6        10.5        9.3      9.2
ภาคเหนือ              15.3       16.6       12.1        11.6        12.5        7.8      7.1
ภาคตะวันออก           13.4       18.9       12.0        15.4        13.5        9.0      6.2
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   17.4       16.7       10.6        13.3         9.7        8.8      7.4
ภาคใต้                16.4       17.7       11.5        13.0        12.3        5.9      6.9

ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาน้ำมัน ราคาสินค้า ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติดตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้

กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพและว่างงาน

ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ

ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและเศรษฐกิจทั่วไป

ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ค่าครองชีพและเศรษฐกิจทั่วไป

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ

ภาคใต้ ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

1. ดูแลปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงเกินไป

2. ต้องการให้รัฐบาลสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับคนว่างงานเพื่อช่วยลดปัญหาการว่างงาน

3. แก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้นอกระบบและปัญหาการคอรัปชั่น

4. ดูแลนโยบายประกันรายได้ของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพียงพอและเป็นธรรม

5. หาแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกทางการเมือง รวมทั้งปลูกจิตสำนึกสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ

6. แก้ไขปัญหาการลงทุนในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ

---------------------------------------

หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บ้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อ้อมูลย้อ้อนหลังทุกเดือนซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
การอ่านค่าดัชนี

ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้

  • ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
  • ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
ภาคผนวก

1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ

2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน

ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ