ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ส่งออก จำนวน 192 ราย คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2/2553(เมษายน — มิถุนายน) ภาวะการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันมีแนวโน้มที่ดี โดย ดัชนีมีค่า 70.5 และ 61.8 ตามลำดับ
ผู้ประกอบการส่งออก คาดว่าภาวะการส่งออกในไตรมาสที่ 2/2553 (เมษายน - มิถุนายน) จะดีขึ้นร้อยละ 50.0 ไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 41.0 และไม่ดี ร้อยละ 9.0 ทำให้ดัชนีคาดการณ์ภาวะการส่งออก มีค่าเท่ากับ 70.5 แสดงว่าการส่งออกมีทิศทางที่ดี
สินค้าที่คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด/แช่เย็น/ แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน และ อาหารสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าจะมีการส่งออกลดลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ รองเท้าและชิ้นส่วน
ในไตรมาสที่ 2/2553นักธุรกิจคาดการณ์ว่าความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้น ร้อยละ 32.8 ไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 58.0 และลดลง ร้อยละ 9.2 เป็นผลให้ดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขัน มีค่า 61.8 แสดงว่าผู้ส่งออกเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
สินค้าที่คาดว่าความสามารถในการแข่งขันจะเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ ยางพารา ไก่แช่เยือกแข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง และ อาหารสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าความสามารถในการแข่งขัน ลดลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำตาลทราย เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
ดัชนีมูลค่าส่งออกเดือนมีนาคม 2553 มีค่า 69.8 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์มันสำประหลัง ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา และ อาหารสำเร็จรูป ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออก ลดลง ได้แก่ อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน
ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่มีค่า 65.0 สินค้าที่มีมูลค่าคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา และ อาหารสำเร็จรูป ส่วนสินค้าที่มูลค่าคำสั่งซื้อใหม่ลดลง ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน
ดัชนีสินค้าคงคลังเดือนมีนาคม 2553 มีค่า 50.3 มูลค่าสินค้า คงคลังที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แช่เยือกแข็งและแปรรูป และ อาหารสำเร็จรูป มูลค่าสินค้าคงคลังที่ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน
เดือน %ดีขึ้น %เท่าเดิม %ลดลง ผลต่าง ดัชนี มีนาคม 53 29.8 57.9 12.3 17.5 58.7 กุมภาพันธ์ 53 25.0 59.2 15.8 9.2 54.6 มกราคม 53 24.6 60.7 14.7 9.9 55.0
ดัชนีการจ้างงานในเดือนมีนาคม 2553มีค่าเท่ากับ 58.7แสดงว่าการจ้างงานภาคการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ปัญหา
- ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป
- คำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน ทำให้ไม่สามารถรับ คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้
- อัตราเงินชดเชยการส่งออกลดลงอย่างมาก จาก 1.88 เป็น 0.07
- การเมืองภายในประเทศไม่มีเสถียรภาพ ทำให้มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
- ขาดแคลนเรือขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ รวมทั้งค่าระวางเรือไปยังสหรัฐอเมริกา และยุโรปปรับตัวสูงขึ้นมาก
ภาครัฐควรดำเนินการ ดังนี้
- ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
- รัฐควรผ่อนคลาย หรือมีมาตรการลดต้นทุนการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติ
- ควรหาวิธีแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยเร็วที่สุด
- ควรปรับอัตราชดเชยภาษีส่งออกให้สูงขึ้น
หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีภาวะธุรกิจส่งออกจะมีการปรับปรุงข้อมูลดัชนีย้อนหลัง 1 เดือน
1. กลุ่มสินค้าเป้าหมายที่ทำการสำรวจ มีจำนวน 86 กลุ่มสินค้า
2. การคำนวณดัชนี เป็นดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่มีคุณสมบัติเด่นในการเป็นตัวชี้นำ (leading indicator) และแสดงทิศทางการเติบโต (growth) ของภาวะธุรกิจ จากการ แปลงข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative) ให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative) โดยกำหนดค่าคำตอบที่ได้รับจากผู้ตอบแบบสอบถาม คือ เพิ่มขึ้นให้คะแนน เท่ากับ 1เท่าเดิมให้คะแนน เท่ากับ 0.5และ ลดลงให้คะแนนเท่ากับ 0 จากนั้นนำคะแนนทั้งหมดมารวมกัน หารด้วยจำนวนผู้ตอบแบบทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100 จะได้ดัชนีของแต่ละคาบเวลา ดัชนีจะมีค่าสูงสุดเท่ากับ 100 และค่าต่ำสุดเท่ากับ 0
3. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อแสดงทิศทางเศรษฐกิจภาคการส่งออก ใช้เส้นค่า 50 (break even point) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าผลการคำนวณดัชนีอยู่เหนือเส้น 50 แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจดีขึ้น ถ้าดัชนีอยู่ใกล้แนวเส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าดัชนีอยู่ใต้เส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจแย่ลง
ทั้งนี้ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว หากดัชนีตัดแนวเส้น 50 ลงมา หมายถึง ภาวะธุรกิจแย่ลงหรือชะลอตัว สำหรับในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ถ้าดัชนีตัดแนวเส้น 50 ขึ้นไป แสดงว่าภาวะธุรกิจดีขึ้นหรือขยายตัว
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โทร.0 2507 5811-13, โทรสาร 0 2507 5806,0 2507 5825
www.price.moc.go.thEmail: neworders@moc.go.th