ไตรมาส 3/2553 การส่งออกยังคงมีแนวโน้มที่ดี
ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ส่งออก จำนวน 232 ราย คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 3/2553(กรกฎาคม — กันยายน) ภาวะการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันมีแนวโน้มที่ดี โดย ดัชนี มีค่า 61.2 และ 59.1ตามลำดับ
ผู้ประกอบการส่งออก คาดว่าภาวะการส่งออกในไตรมาสที่ 3/2553(กรกฎาคม - กันยายน)จะดีขึ้น ร้อยละ 43.4 ไม่เปลี่ยน แปลง ร้อยละ 35.6และไม่ดี ร้อยละ 21.0ทำให้ดัชนีคาดการณ์ภาวะการส่งออก มีค่าเท่ากับ 61.2 แสดงว่าการส่งออกมีทิศทางที่ดี
สินค้าที่คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก/เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่อง ประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ข้าว ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน และ อาหารสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าจะมีการส่งออกลดลง ได้แก่ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
ในไตรมาสที่ 3/2553 นักธุรกิจคาดการณ์ว่าความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้น ร้อยละ 31.2 ไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 55.8และลดลง ร้อยละ 13.0 เป็นผลให้ดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขัน มีค่า 59.1แสดงว่าผู้ส่งออกเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
สินค้าที่คาดว่าความสามารถในการแข่งขันจะเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ข้าว ยางพารา เชื้อเพลิงและพลังงาน และ อาหารสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าความสามารถในการแข่งขัน ลดลง ได้แก่ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
ดัชนีมูลค่าส่งออกเดือนมิถุนายน 2553มีค่า 56.9 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและชิ้นส่วน อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ข้าว ไก่แช่เยือกแข็งและแปรรูป เชื้อเพลิงและพลังงาน ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออก ลดลง ได้แก่ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา และ อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง
ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่มีค่า 56.7สินค้าที่มีมูลค่าคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ข้าว เชื้อเพลิงและพลังงาน ส่วนสินค้าที่มูลค่าคำสั่งซื้อใหม่ลดลง ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และ ยางพารา
ดัชนีสินค้าคงคลังเดือนมิถุนายน 2553มีค่า 47.7 มูลค่าสินค้า คงคลังที่ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา ไก่แช่เยือกแข็งและแปรรูป และ อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง มูลค่าสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย เชื้อเพลิงและพลังงาน และ อาหารสำเร็จรูป
เดือน %ดีขึ้น %เท่าเดิม %ลดลง ผลต่าง ดัชนี มิถุนายน 53 26.1 61.5 12.4 13.7 56.9 พฤษภาคม 53 29.3 60.3 10.4 18.9 59.4 เมษายน 53 22.5 62.9 14.6 7.9 54.0
ดัชนีการจ้างงานในเดือนมิถุนายน 2553มีค่าเท่ากับ 56.9แสดงว่าการจ้างงานภาคการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ปัญหา
- อัตราแลกเปลี่ยนไม่คงที่ และแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป
- ความขัดแย้งทางการเมือง และการระงับโครงการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ส่งผลให้ต่างประเทศชะลอเข้ามาลงทุน
- ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทั้งราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบ ได้แก่ ไม้ยางพารา ราคาเพิ่มสูงขึ้น 20%
- ค่าขนส่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าระวางเรือไปอเมริกาและยุโรปสูงขึ้นมาก
- ขาดแคลนแรงงานทั้งที่มีฝีมือ และไม่มีฝีมือ
- เครื่องบินขนาดใหญ่ที่ขนสินค้าไปยังต่างประเทศ บินผ่านประเทศไทยน้อย เป็นอุปสรรคต่อการส่งสินค้าไปต่างประเทศ
ภาครัฐควรดำเนินการ ดังนี้
- ควรทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง
- ควรสนับสนุนให้มีการลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทย
- ส่งเสริมการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากแรงงานไทยหายาก
- ควรกำหนดปริมาณการส่งออกไม้ยางพารา หรือเก็บภาษีส่งออก
- ควรปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีให้ผู้ส่งออก และให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่บริษัทที่ตั้งในเขตพิเศษจังหวัดชายแดน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายสมดุลกับค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์
หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีภาวะธุรกิจส่งออกจะมีการปรับปรุงข้อมูลดัชนีย้อนหลัง 1 เดือน
1. กลุ่มสินค้าเป้าหมายที่ทำการสำรวจ มีจำนวน 86 กลุ่มสินค้า
2. การคำนวณดัชนี เป็นดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่มีคุณสมบัติเด่นในการเป็นตัวชี้นำ (leading indicator) และแสดงทิศทางการเติบโต (growth) ของภาวะธุรกิจ จากการแปลงข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative) ให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative) โดยกำหนดค่าคำตอบที่ได้รับจากผู้ตอบแบบสอบถาม คือ เพิ่มขึ้นให้คะแนน เท่ากับ 1เท่าเดิมให้คะแนน เท่ากับ 0.5และ ลดลงให้คะแนนเท่ากับ 0 จากนั้นนำคะแนนทั้งหมดมารวมกัน หารด้วยจำนวนผู้ตอบแบบทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100 จะได้ดัชนีของแต่ละคาบเวลา ดัชนีจะมีค่าสูงสุดเท่ากับ 100 และค่าต่ำสุดเท่ากับ 0
3. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อแสดงทิศทางเศรษฐกิจภาคการส่งออก ใช้เส้นค่า 50 (break even point) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าผลการคำนวณดัชนีอยู่เหนือเส้น50 แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจดีขึ้น ถ้าดัชนีอยู่ใกล้แนวเส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าดัชนีอยู่ใต้เส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจแย่ลง
ทั้งนี้ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว หากดัชนีตัดแนวเส้น 50 ลงมา หมายถึง ภาวะธุรกิจแย่ลงหรือชะลอตัว สำหรับในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ถ้าดัชนีตัดแนวเส้น 50 ขึ้นไป แสดงว่าภาวะธุรกิจดีขึ้นหรือขยายตัว
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โทร.0 2507 5811-13, โทรสาร 0 2507 5806,0 2507 5825
www.price.moc.go.thEmail: neworders@moc.go.th