คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการให้ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย ค.ศ. 1997 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยดำเนินการตามนัยผลการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเกี่ยวกับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาพันธกรณีในอนุสัญญาฯ เป็นรายข้อบทและมีมติที่ประชุมสรุปได้ว่า ไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาฯ ได้อย่างครบถ้วนและสามารถเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกกฎหมายอนุวัติการอีก โดยเห็นควรดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ข้อ 6 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ กำหนดให้รัฐแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงเขตอำนาจศาลของตนในขณะให้สัตยาบัน ให้การยอมรับเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติอนุสัญญา ฯ นี้ และหากมีการเปลี่ยนแปลง ให้รัฐภาคีที่เกี่ยวข้องแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติทราบทันที ดังนั้น ในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ ของไทยจึงต้องมีการแจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติถึงเขตอำนาจศาลของไทยเหนือการกระทำตามอนุสัญญาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8
2. ให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกันโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมองค์การระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่แจ้งรัฐที่เกี่ยวข้องหรือเลขาธิการสหประชาชาติทราบในกรณีตามข้อ 7 วรรค 6 ของอนุสัญญาฯ เรื่องการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ และเหตุสมควรที่ให้คุมขังบุคคลนั้น และข้อ 16 ของอนุสัญญาฯ เรื่องการแจ้งผลที่สุดของการดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมให้การดำเนินการของไทยเป็นไปตามความประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติเกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และการส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความสัมพันธ์ฉันมิตร และความร่วมมือระหว่างรัฐ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 24 เมษายน 2550--จบ--
1. ข้อ 6 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ กำหนดให้รัฐแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงเขตอำนาจศาลของตนในขณะให้สัตยาบัน ให้การยอมรับเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติอนุสัญญา ฯ นี้ และหากมีการเปลี่ยนแปลง ให้รัฐภาคีที่เกี่ยวข้องแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติทราบทันที ดังนั้น ในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ ของไทยจึงต้องมีการแจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติถึงเขตอำนาจศาลของไทยเหนือการกระทำตามอนุสัญญาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8
2. ให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกันโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมองค์การระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่แจ้งรัฐที่เกี่ยวข้องหรือเลขาธิการสหประชาชาติทราบในกรณีตามข้อ 7 วรรค 6 ของอนุสัญญาฯ เรื่องการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ และเหตุสมควรที่ให้คุมขังบุคคลนั้น และข้อ 16 ของอนุสัญญาฯ เรื่องการแจ้งผลที่สุดของการดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมให้การดำเนินการของไทยเป็นไปตามความประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติเกี่ยวกับการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และการส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความสัมพันธ์ฉันมิตร และความร่วมมือระหว่างรัฐ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 24 เมษายน 2550--จบ--