ขออนุมัติรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินและการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 10, 2010 14:17 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง ขออนุมัติรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินและการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง

กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552

คณะรัฐมนตรีอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอทั้ง 3 ข้อดังนี้

1. อนุมัติรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินสำหรับปี 2554 ด้วยวิธีการทำสัญญากู้เงิน (Term Loan) วงเงินไม่เกิน 59,960.44 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552

2. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงินไม่เกิน 82,769.71 ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาลตามเงื่อนไขและรายละเอียดที่เสนอ

3. เห็นชอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งคำขอรับจัดสรรวงเงินกู้พร้อมทั้งเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 และให้ สงป. พิจารณาจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2553 หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเวลาให้ ยกเลิกวงเงินกู้ส่วนที่ไม่ได้รับการอนุมัติจัดสรรจาก สงป. ยกเว้นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติขยายระยะเวลาการขอรับ จัดสรรให้แล้ว

ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงาน และการใช้จ่ายเงินกู้ของโครงการที่ได้รับการจัดสรรให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงการคลัง (กค.) รายงานว่า

1. กค. ได้ดำเนินการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบของการจัดทำสัญญากู้เงิน (Term Loan) ตามรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแล้ว รวม 8 ครั้ง จำนวน 290,000 ล้านบาท และเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้สัญญากู้เงินข้างต้น เพื่อนำมารองรับการใช้จ่ายภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 รวม 236,000 ล้านบาท โดยมีผลการเบิกจ่ายเงินกู้ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 จำนวน 234,400.87 ล้านบาท

2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 กค. ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้สัญญากู้เงิน (Term Loan) จำนวน 3 สัญญา วงเงินกู้รวม 82,230.29 ล้านบาท เป็นพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อกระจายภาระการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับกรอบวงเงินงบประมาณชำระหนี้ของรัฐบาล โดยมีอายุเงินกู้เฉลี่ย (Average Time to Maturity) ยาวขึ้นเป็น 4 ปี

3. สถานะการดำเนินโครงการในปัจจุบัน ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 จากกรอบวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 รวม 348,960.44 ล้านบาท สงป. ได้อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ไปแล้ว รวม 320,760.88 ล้านบาท และหน่วยงานเจ้าของโครงการได้เบิกจ่ายเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการแล้ว จำนวน 234,400.87 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีวงเงินกู้ที่ได้รับการจัดสรรจาก สงป. แล้วและรอการเบิกจ่ายรวม 86,360.01 ล้านบาท และเมื่อรวมกับวงเงินกู้ที่รอการอนุมัติจัดสรรจาก สงป. จำนวน 29,199.56 ล้านบาท แล้ว จะมีความต้องการใช้เงินกู้อีก 115,559.57 ล้านบาท โดย กค. ยังมีวงเงินกู้คงเหลือ คือ วงเงินกู้ที่ กค. ได้ลงนามผูกพันในสัญญาเงินกู้แล้ว จำนวน 290,000 ล้านบาท หักด้วยวงเงินกู้ที่ได้เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 234,400.87 ล้านบาท เท่ากับ 55,599.13 ล้านบาท จึงเห็นควรกำหนดแผนการกู้เงินสำหรับปี 2554 ด้วยวิธีการทำสัญญากู้เงิน (Term Loan) วงเงินไม่เกิน 59,960.44 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ดังนี้

ผู้กู้                         กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
วัตถุประสงค์                  เพื่อนำมาใช้สำหรับแผนงานหรือโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
ระยะเวลาเงินกู้               ไม่เกิน 4 ปี
แหล่งเงินกู้                   ธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการในประเทศไทยและ/หรือสถาบันการเงินภาครัฐ
อัตราดอกเบี้ย                 อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

(FDR) เฉลี่ย (ธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ และธนาคารกสิกรไทยฯ) หรือ

อัตราดอกเบี้ย BIBOR ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นฐานในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

และบวกส่วนเพิ่มหรือลบส่วนลดตามที่ กค. เห็นสมควร โดยปรับอัตราดอกเบี้ยทุกงวด 6 เดือนหากมีการ

เปลี่ยนแปลง และการคิดคำนวณดอกเบี้ยจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการเบิกจ่ายเงินกู้ ระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกู้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เป็นไปตามข้อเสนอของแหล่งเงินกู้ ซึ่งจะได้มีการเจรจาต่อรองต่อไป ตามที่ กค. เห็นสมควร

การชำระคืนต้นเงิน             ชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวนเมื่อครบกำหนด
การชำระคืนต้นเงินก่อนกำหนด     สามารถชำระคืนต้นเงินก่อนกำหนดได้ทั้งจำนวนหรือบางส่วน

4. เพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารหนี้และกระจายภาระการชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ของรัฐบาล รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบลงทุนของรัฐบาลเพื่อใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ในการนี้ จึงเห็นควรกู้เงินด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 12 — 20 ปี เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ในวงเงินไม่เกิน 82,769.71 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับโครงสร้างหนี้ คือ การปรับ Portfolio ให้มีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4 ปีเป็น 8.5 ปี และปรับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราคงที่เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการปรับอัตราดอกเบี้ย รวมถึงเป็นการกระจายภาระหนี้ไม่ให้กระจุกตัวมากเกินไป โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขของตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาล ดังนี้

ประเภท             ตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาล
ผู้กู้                 กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
วัตถุประสงค์          เพื่อนำมาใช้สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู

และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552

วงเงิน              82,769.71 ล้านบาท
อายุ                12-20 ปี
อัตราดอกเบี้ย         อัตราดอกเบี้ยคงที่ตามอัตราตลาด
แหล่งเงินกู้           ธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการในประเทศไทยและ/หรือสถาบันการเงินภาครัฐ  และนักลงทุนสถาบันการเงินระยะยาว

ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม และบริษัทประกันชีวิต การชำระคืนต้นเงินกู้ ชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวนเมื่อครบกำหนด

5. เพื่อให้การกู้เงินและบริหารเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กค. เห็นควรกำหนดมาตรการเร่งรัดการจัดสรรเงินกู้สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งคำขอรับจัดสรรวงเงินกู้พร้อมทั้งเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้ สงป. พิจารณาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 และให้ สงป. พิจารณาจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2553 หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเวลา กค. จะพิจารณายกเลิกวงเงินกู้ส่วนที่ไม่ได้รับการอนุมัติจัดสรรจาก สงป. ยกเว้นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรให้แล้ว

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 9 พฤศจิกายน 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ