คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมที่กระทำต่อบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนทางทูต ค.ศ. 1973 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกกฎหมายอนุวัติการ และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยจัดทำข้อสงวนว่าจะส่งผู้ร้ายข้ามแดนเฉพาะในกรณีการกระทำความผิดที่มีโทษจำคุกเกิน 1 ปีตามกฎหมายไทยเท่านั้น
ทั้งนี้ อนุสัญญาฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมต่อตัวแทนทางทูตและบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งการกระทำอันมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของบุคคลเหล่านี้ เป็นภยันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชาคมระหว่างประเทศ และจำเป็นที่รัฐต้องมีมาตรการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ในการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมดังกล่าว
โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ มีดังนี้
1. ให้รัฐภาคีกำหนดให้การกระทำผิดตามอนุสัญญาฯ อาทิ ความผิดต่อชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินของผู้ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายภายในของตนและมีบทลงโทษที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพความร้ายแรงของอาชญากรรม
2. ให้รัฐภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็นเพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลของตนเหนืออาชญากรรมตามอนุสัญญา ฯ
3. ให้รัฐภาคีร่วมมือกันในการป้องกันอาชญากรรมตามอนุสัญญาฯ โดยเฉพาะการป้องกันการเตรียมการเพื่อประกอบอาชญากรรม และการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและการประสานการดำเนินมาตรการทางปกครอง
4. ให้รัฐภาคีฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามอนุสัญญาฯ ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในอาณาเขตของรัฐนั้น ๆ ตามกระบวนการตามกฎหมายภายในของรัฐเช่นว่า ในกรณีที่ไม่ส่งผู้นั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
5. ให้รัฐภาคีกำหนดให้อาชญากรรมตามอนุสัญญาฯ เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
ทั้งนี้ อนุสัญญาฯ ได้มีผลใช้บังคับแล้ว เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2520 และปัจจุบันมีประเทศเข้าเป็นภาคี แล้วจำนวน 164 ประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 16 มกราคม 2550--จบ--
ทั้งนี้ อนุสัญญาฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมต่อตัวแทนทางทูตและบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งการกระทำอันมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของบุคคลเหล่านี้ เป็นภยันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชาคมระหว่างประเทศ และจำเป็นที่รัฐต้องมีมาตรการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ในการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมดังกล่าว
โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ มีดังนี้
1. ให้รัฐภาคีกำหนดให้การกระทำผิดตามอนุสัญญาฯ อาทิ ความผิดต่อชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินของผู้ได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายภายในของตนและมีบทลงโทษที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพความร้ายแรงของอาชญากรรม
2. ให้รัฐภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็นเพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลของตนเหนืออาชญากรรมตามอนุสัญญา ฯ
3. ให้รัฐภาคีร่วมมือกันในการป้องกันอาชญากรรมตามอนุสัญญาฯ โดยเฉพาะการป้องกันการเตรียมการเพื่อประกอบอาชญากรรม และการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและการประสานการดำเนินมาตรการทางปกครอง
4. ให้รัฐภาคีฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามอนุสัญญาฯ ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในอาณาเขตของรัฐนั้น ๆ ตามกระบวนการตามกฎหมายภายในของรัฐเช่นว่า ในกรณีที่ไม่ส่งผู้นั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
5. ให้รัฐภาคีกำหนดให้อาชญากรรมตามอนุสัญญาฯ เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
ทั้งนี้ อนุสัญญาฯ ได้มีผลใช้บังคับแล้ว เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2520 และปัจจุบันมีประเทศเข้าเป็นภาคี แล้วจำนวน 164 ประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 16 มกราคม 2550--จบ--