คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของ
สำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงศึกษาธิการเสนอว่า
1. ก่อนปี พ.ศ. 2540 การจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ในกรณีที่การจัดตั้งส่วนราชการไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถาบันอุดมศึกษาโดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยจะดำเนินการจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใน
2. มาตรการลดค่าใช้จ่ายของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ตุลาคม 2540 และ 3 กุมภาพันธ์ 2541 มีผลกระทบต่อการผลิตบัณฑิตของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องจัดตั้งหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงส่วนราชการตลอดเวลาเพื่อรองรับการจัดการศึกษา คณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยจึงกำหนดนโยบายให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถจัดตั้งหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับได้ ภายใต้ขอบเขตและอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่เพิ่มงบประมาณและอัตรากำลัง
3. ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ทบวงมหาวิทยาลัยได้เตรียมแนวทางการจัดตั้งส่วนราชการหรือหน่วยงานภายในเพื่อรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 โดยยังคงนโยบายมาตรการระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ตุลาคม 2540 แต่หากสถาบันอุดมศึกษาแห่งใดมีความจำเป็นต้องจัดตั้งก็ให้จัดตั้งเป็นหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
4. ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการปฏิรูปการศึกษา มีการปรับโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ โดยรวมสถาบันที่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยเดิมกับสถาบันราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลและสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน มาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และได้ยกฐานะสถาบันต่างๆ เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นนิติบุคคล จึงมีการแบ่งส่วนราชการภายในของสถาบันอุดมศึกษาใหม่ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง แล้วแต่กรณี
5. การแบ่งส่วนราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน ได้กำหนดให้ตราเป็นกฎกระทรวงตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ส่วนการแบ่งส่วนของสถาบันอุดมศึกษา ได้มีการกำหนดขั้นตอนโดยมีความแตกต่างจากการแบ่งส่วนราชการอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 ธันวาคม 2549
6. แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ แต่ทบวงมหาวิทยาลัยได้มีนโยบายให้สภาสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งจัดตั้งหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับได้เอง จึงมีสถาบัน อุดมศึกษาจำนวนมากได้จัดตั้งหน่วยงานภายในดังกล่าว พร้อมทั้งได้แต่งตั้งข้าราชการหรือพนักงานให้ดำรงตำแหน่งคณบดีมากมายหลายหน่วยงาน
7. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ได้จัดตั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานอิสระในกำกับสถาบันอุดมศึกษาเป็นจำนวนมากนั้น มีผลกระทบต่อสถานะทางกฎหมายของผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี และสมควรจะให้มีกฎหมายรองรับสถานะของหน่วยงานดังกล่าวต่อไป จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1. กำหนดให้สภาสถาบันมีมติให้จัดตั้งส่วนราชการภายในขึ้นโดยใช้รายได้ของสถาบันอุดมศึกษาได้ โดยจัดทำเป็นประกาศของสถาบันอุดมศึกษา (ร่างมาตรา 4)
2. กำหนดการบริหารและการดำเนินงานของหน่วยงานภายในเป็นไปตามข้อบังคับของสภาสถาบัน อุดมศึกษา (ร่างมาตรา 5)
3. กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับหัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา (ร่างมาตรา 6)
4. กำหนดให้หน่วยงานที่สภาสถาบันอุดมศึกษาอนุมัติให้จัดตั้งขึ้นก่อนที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ เป็นส่วนงานตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ และให้หัวหน้าส่วนงานภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับหัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษานับแต่วันจัดตั้งหน่วยงาน (ร่างมาตรา 7)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 พฤษภาคม 2550--จบ--
สำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงศึกษาธิการเสนอว่า
1. ก่อนปี พ.ศ. 2540 การจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ในกรณีที่การจัดตั้งส่วนราชการไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถาบันอุดมศึกษาโดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยจะดำเนินการจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใน
2. มาตรการลดค่าใช้จ่ายของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ตุลาคม 2540 และ 3 กุมภาพันธ์ 2541 มีผลกระทบต่อการผลิตบัณฑิตของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องจัดตั้งหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงส่วนราชการตลอดเวลาเพื่อรองรับการจัดการศึกษา คณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยจึงกำหนดนโยบายให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถจัดตั้งหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับได้ ภายใต้ขอบเขตและอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่เพิ่มงบประมาณและอัตรากำลัง
3. ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ทบวงมหาวิทยาลัยได้เตรียมแนวทางการจัดตั้งส่วนราชการหรือหน่วยงานภายในเพื่อรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 โดยยังคงนโยบายมาตรการระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ตุลาคม 2540 แต่หากสถาบันอุดมศึกษาแห่งใดมีความจำเป็นต้องจัดตั้งก็ให้จัดตั้งเป็นหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับสถาบันอุดมศึกษาโดยไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
4. ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการปฏิรูปการศึกษา มีการปรับโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ โดยรวมสถาบันที่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยเดิมกับสถาบันราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลและสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน มาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และได้ยกฐานะสถาบันต่างๆ เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นนิติบุคคล จึงมีการแบ่งส่วนราชการภายในของสถาบันอุดมศึกษาใหม่ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง แล้วแต่กรณี
5. การแบ่งส่วนราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน ได้กำหนดให้ตราเป็นกฎกระทรวงตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ส่วนการแบ่งส่วนของสถาบันอุดมศึกษา ได้มีการกำหนดขั้นตอนโดยมีความแตกต่างจากการแบ่งส่วนราชการอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 ธันวาคม 2549
6. แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ แต่ทบวงมหาวิทยาลัยได้มีนโยบายให้สภาสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งจัดตั้งหน่วยงานภายในหรือหน่วยงานอิสระในกำกับได้เอง จึงมีสถาบัน อุดมศึกษาจำนวนมากได้จัดตั้งหน่วยงานภายในดังกล่าว พร้อมทั้งได้แต่งตั้งข้าราชการหรือพนักงานให้ดำรงตำแหน่งคณบดีมากมายหลายหน่วยงาน
7. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ได้จัดตั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานอิสระในกำกับสถาบันอุดมศึกษาเป็นจำนวนมากนั้น มีผลกระทบต่อสถานะทางกฎหมายของผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี และสมควรจะให้มีกฎหมายรองรับสถานะของหน่วยงานดังกล่าวต่อไป จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1. กำหนดให้สภาสถาบันมีมติให้จัดตั้งส่วนราชการภายในขึ้นโดยใช้รายได้ของสถาบันอุดมศึกษาได้ โดยจัดทำเป็นประกาศของสถาบันอุดมศึกษา (ร่างมาตรา 4)
2. กำหนดการบริหารและการดำเนินงานของหน่วยงานภายในเป็นไปตามข้อบังคับของสภาสถาบัน อุดมศึกษา (ร่างมาตรา 5)
3. กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับหัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา (ร่างมาตรา 6)
4. กำหนดให้หน่วยงานที่สภาสถาบันอุดมศึกษาอนุมัติให้จัดตั้งขึ้นก่อนที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ เป็นส่วนงานตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ และให้หัวหน้าส่วนงานภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับหัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษานับแต่วันจัดตั้งหน่วยงาน (ร่างมาตรา 7)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 พฤษภาคม 2550--จบ--