คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 4 เดือนของปี 2550 (มกราคม — เมษายน) ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนเมษายน 2550 มีมูลค่า 10,874.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.5 เป็นการขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่องจากต้นปี เมื่อเทียบกับการส่งออกเดือนมีนาคมที่มีมูลค่าสูงถึง 13,103.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้การส่งออกเดือนเมษายนจะต่ำกว่า แต่ก็เป็นไปตามฤดูกาลที่การส่งออกเดือนเมษายนจะต่ำกว่าเดือนมีนาคมมาโดยตลอด
สินค้าส่งออกสำคัญ มีการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกหมวด ทั้งสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8, 13.2, 30.7 ตามลำดับ
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญส่วนใหญ่ส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งข้าว มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป และไก่แช่แข็งและแปรรูป) และน้ำตาลที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งปริมาณและมูลค่า ส่วนยางพารามูลค่าส่งออกยังคงเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 1.8
- สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญส่วนใหญ่การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าที่สำคัญและขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง (ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และสิ่งพิมพ์และกระดาษ และสินค้าอื่น ๆ ที่ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า รวมทั้งสิ่งทอที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากที่ส่งออกลดลงเล็กน้อยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม
- ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่ส่งออกลดลงได้แก่อัญมณีและเครื่องประดับที่ลดลงติดต่อกันกันเป็นเดือนที่สองร้อยละ 32.3 เป็นการลดลงของทองคำและเครื่องประดับทำด้วยทองคำถึงร้อยละ 73.9 และ 29.7 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาราคาทองคำที่มีการปรับตัวสูงขึ้น การแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งผู้นำเข้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอคำตัดสินการต่ออายุ GSP ของสหรัฐฯซึ่งจะทราบผลในช่วงกลางปีนี้
- กลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่วนประกอบของอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ทองแดง และเลนส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9, 31.9, 81.9, 78.4 และ 26.1 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกสำคัญ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดใหม่ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.8 ตลาดที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องได้แก่ ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 94.3) อินเดีย (ร้อยละ 50.6) แอฟริกา (ร้อยละ 40.2) จีน (ร้อยละ 38.8) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 36.6) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 35.1) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 22.1)
ขณะที่ตลาดหลักก็มีการปรับตัวดีขึ้น โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 14.4 โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1, 11.8 และ19.0 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ การส่งออกขยายตัวในอัตราต่ำร้อยละ 2.9 ส่วนสิงคโปร์ก็กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 จากที่ลดลงร้อยละ 8.2 ในเดือนมีนาคม
การส่งออกในระยะ 4 เดือนแรกของปี 2550 มีมูลค่า 45,698.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 คิดเป็นร้อยละ 31.31 ของเป้าหมายการส่งออก เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวด โดยหมวดสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร (ร้อยละ 22.4) สินค้าอุตสาหกรรม (ร้อยละ 15.6) และสินค้าอื่น ๆ (ร้อยละ 25.3)
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และ 18.5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง(ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.5 และ 50.8) สินค้าอาหาร (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และ 18.0) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 232.2 และ 220.3) สำหรับสินค้าที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณลดลง คือ ยางพารา มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ขณะที่ปริมาณลดลง ร้อยละ 2.4
- สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง (เหล็กและเหล็กเส้น) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สิ่งพิมพ์และกระดาษ และของเล่น สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้เดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นต่ำกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง
- สินค้าอื่นๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล ส่วนประกอบของอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ทองแดง และเลนส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7, 33.8, 77.9 , 107.0 และ 35.4 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกสำคัญในระยะ 4 เดือนแรกปี 2550 การส่งออกไปตลาดใหม่และตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.1 และ 13.2 ตามลำดับ ทำให้สัดส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45.0 ขณะที่สัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักลดลงเป็นร้อยละ 55.0
- ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูงได้แก่ อินเดีย(ร้อยละ 61.1) ยุโรปตะวันออก(ร้อยละ 53.4) ออสเตรเลีย(ร้อยละ 41.6) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 35.5)แอฟริกา (ร้อยละ 31.6) ไต้หวัน (ร้อยละ 26.1) จีน(ร้อยละ 24.5) ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 23.9) และอินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 22.0) ขณะที่เกาหลีใต้ ฮ่องกงและแคนาดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 , 4.2 และ 7.6 ตามลำดับ
- ตลาดหลักที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูง ได้แก่ สหภาพยุโรป(15) ญี่ปุ่น และ อาเซียน(5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 , 16.1 และ 13.4 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.3 เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและภาวะการแข่งขันในตลาด
2. การนำเข้า
การนำเข้าเดือนเมษายน 2550 มีมูลค่า 10,618.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวด ได้แก่ สินค้าทุน (ร้อยละ 4.9) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 21.9) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 23.8) และสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ (ร้อยละ 22.3) กลุ่มสินค้าที่นำเข้าลดลงได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 15.6) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น (ร้อยละ 5.0)
กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงเป็นสัดส่วนร้อยละ 95.5 ของการนำเข้ารวมของเดือนเมษายน 2550 มีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีปริมาณลดลงร้อยละ 11.04 มูลค่าลดลงร้อยละ 10.4 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.2 ของการนำเข้ารวม
- สินค้าทุนสำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ส่วนเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบลดลงร้อยละ 1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ ลดลงร้อยละ 6.1
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปสำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 26.5) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 17.7) ในขณะที่เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ปริมาณลดลง (ร้อยละ 10.56) มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น (ร้อยละ 23.4) ส่วนทองคำ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 81.9 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.9
- สินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (ร้อยละ 23.3) เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด (ร้อยละ 20.8) นาฬิกาและส่วนประกอบ (ร้อยละ 40.0) เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ (ร้อยละ 36.6) นมและผลิตภัณฑ์นม (ร้อยละ 83.7) และผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ (ร้อยละ 63.2)
การนำเข้าในระยะ 4 เดือนแรกของปี 2550 มีมูลค่า 41,172 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 16.8) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 23.8) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (ร้อยละ 5.4) ส่วนสินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 14.4, 5.7 และ 6.9 ตามลำดับ
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าเดือนเมษายน 2550 ไทยเกินดุลการค้า 255.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 4 เดือนแรกปี 2550 เกินดุลการค้ารวม 4,526.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดดุลการค้า 1,071 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้า
แนวโน้มการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้ส่งออกครั้งล่าสุดเมื่อเดือน เมษายน 2550 ผู้ส่งออกยังคงมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 12.5 เนื่องจากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกมั่นใจในการทำการค้ามากขึ้น ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการผลักดันให้เกิดการขยายการส่งออกทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและการติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้า
เพื่อให้การนำเข้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้มีการดูแลการนำเข้าโดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าเป็นรายเดือนรวม 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทองคำ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เครื่องจักรการเกษตร คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ และมีการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่
แนวโน้มการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่สำคัญ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เหล็ก ในเดือนพฤษภาคม 2550 ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ 1.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่มีการนำเข้า 1.02 ล้านตัน ตามความต้องการใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและทดแทน stock เดิมที่ใช้ไป ส่วนการนำเข้าทองคำ ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ 13.73 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งมีการนำเข้าเพียง 4.6 ตัน เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงและราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้คนหันไปถือทองคำมากขึ้น ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจะเป็นไปตามแผนที่ผู้นำเข้าแจ้งไว้กับกระทรวงพลังงาน คือนำเข้าปริมาณ 841,000 บาร์เรล/วัน
สำหรับการนำเข้าสินค้าทุนที่สำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและผลักดันการส่งออกให้มากขึ้นเพื่อชดเชยการบริโภคภายใน ประเทศที่ชะลอตัว และมีการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมอยู่ระดับสูงถึง ร้อยละ 80.1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นกันตามความต้องการใช้ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งนำมาใช้ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะลดลง เนื่องจากบางโครงการได้เสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ สำหรับการนำเข้าตามโครงการของรัฐฯ หน่วยงานต่างๆ จำนวน 14 หน่วยงาน ได้แจ้งแผนการนำเข้าในเดือนพฤษภาคม มูลค่า 205.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เดือนเมษายน มูลค่า 205.1 ล้านเหรียญสหรัฐ) และนำเข้าทั้งปีประมาณ 1,223.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนเมษายน 2550 มีมูลค่า 10,874.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.5 เป็นการขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่องจากต้นปี เมื่อเทียบกับการส่งออกเดือนมีนาคมที่มีมูลค่าสูงถึง 13,103.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้การส่งออกเดือนเมษายนจะต่ำกว่า แต่ก็เป็นไปตามฤดูกาลที่การส่งออกเดือนเมษายนจะต่ำกว่าเดือนมีนาคมมาโดยตลอด
สินค้าส่งออกสำคัญ มีการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกหมวด ทั้งสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8, 13.2, 30.7 ตามลำดับ
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญส่วนใหญ่ส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งข้าว มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป และไก่แช่แข็งและแปรรูป) และน้ำตาลที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งปริมาณและมูลค่า ส่วนยางพารามูลค่าส่งออกยังคงเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 1.8
- สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญส่วนใหญ่การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าที่สำคัญและขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง (ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และสิ่งพิมพ์และกระดาษ และสินค้าอื่น ๆ ที่ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า รวมทั้งสิ่งทอที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากที่ส่งออกลดลงเล็กน้อยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม
- ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่ส่งออกลดลงได้แก่อัญมณีและเครื่องประดับที่ลดลงติดต่อกันกันเป็นเดือนที่สองร้อยละ 32.3 เป็นการลดลงของทองคำและเครื่องประดับทำด้วยทองคำถึงร้อยละ 73.9 และ 29.7 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาราคาทองคำที่มีการปรับตัวสูงขึ้น การแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งผู้นำเข้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอคำตัดสินการต่ออายุ GSP ของสหรัฐฯซึ่งจะทราบผลในช่วงกลางปีนี้
- กลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่วนประกอบของอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ทองแดง และเลนส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9, 31.9, 81.9, 78.4 และ 26.1 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกสำคัญ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดใหม่ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.8 ตลาดที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องได้แก่ ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 94.3) อินเดีย (ร้อยละ 50.6) แอฟริกา (ร้อยละ 40.2) จีน (ร้อยละ 38.8) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 36.6) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 35.1) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 22.1)
ขณะที่ตลาดหลักก็มีการปรับตัวดีขึ้น โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 14.4 โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1, 11.8 และ19.0 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ การส่งออกขยายตัวในอัตราต่ำร้อยละ 2.9 ส่วนสิงคโปร์ก็กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 จากที่ลดลงร้อยละ 8.2 ในเดือนมีนาคม
การส่งออกในระยะ 4 เดือนแรกของปี 2550 มีมูลค่า 45,698.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 คิดเป็นร้อยละ 31.31 ของเป้าหมายการส่งออก เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวด โดยหมวดสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร (ร้อยละ 22.4) สินค้าอุตสาหกรรม (ร้อยละ 15.6) และสินค้าอื่น ๆ (ร้อยละ 25.3)
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และ 18.5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง(ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.5 และ 50.8) สินค้าอาหาร (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และ 18.0) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 232.2 และ 220.3) สำหรับสินค้าที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณลดลง คือ ยางพารา มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ขณะที่ปริมาณลดลง ร้อยละ 2.4
- สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง (เหล็กและเหล็กเส้น) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สิ่งพิมพ์และกระดาษ และของเล่น สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้เดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นต่ำกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง
- สินค้าอื่นๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล ส่วนประกอบของอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ทองแดง และเลนส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7, 33.8, 77.9 , 107.0 และ 35.4 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกสำคัญในระยะ 4 เดือนแรกปี 2550 การส่งออกไปตลาดใหม่และตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.1 และ 13.2 ตามลำดับ ทำให้สัดส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45.0 ขณะที่สัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักลดลงเป็นร้อยละ 55.0
- ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูงได้แก่ อินเดีย(ร้อยละ 61.1) ยุโรปตะวันออก(ร้อยละ 53.4) ออสเตรเลีย(ร้อยละ 41.6) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 35.5)แอฟริกา (ร้อยละ 31.6) ไต้หวัน (ร้อยละ 26.1) จีน(ร้อยละ 24.5) ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 23.9) และอินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 22.0) ขณะที่เกาหลีใต้ ฮ่องกงและแคนาดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 , 4.2 และ 7.6 ตามลำดับ
- ตลาดหลักที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูง ได้แก่ สหภาพยุโรป(15) ญี่ปุ่น และ อาเซียน(5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 , 16.1 และ 13.4 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.3 เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและภาวะการแข่งขันในตลาด
2. การนำเข้า
การนำเข้าเดือนเมษายน 2550 มีมูลค่า 10,618.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวด ได้แก่ สินค้าทุน (ร้อยละ 4.9) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 21.9) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 23.8) และสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ (ร้อยละ 22.3) กลุ่มสินค้าที่นำเข้าลดลงได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 15.6) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น (ร้อยละ 5.0)
กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงเป็นสัดส่วนร้อยละ 95.5 ของการนำเข้ารวมของเดือนเมษายน 2550 มีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีปริมาณลดลงร้อยละ 11.04 มูลค่าลดลงร้อยละ 10.4 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.2 ของการนำเข้ารวม
- สินค้าทุนสำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ส่วนเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบลดลงร้อยละ 1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ ลดลงร้อยละ 6.1
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปสำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 26.5) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 17.7) ในขณะที่เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ปริมาณลดลง (ร้อยละ 10.56) มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น (ร้อยละ 23.4) ส่วนทองคำ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 81.9 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.9
- สินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (ร้อยละ 23.3) เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด (ร้อยละ 20.8) นาฬิกาและส่วนประกอบ (ร้อยละ 40.0) เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ (ร้อยละ 36.6) นมและผลิตภัณฑ์นม (ร้อยละ 83.7) และผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ (ร้อยละ 63.2)
การนำเข้าในระยะ 4 เดือนแรกของปี 2550 มีมูลค่า 41,172 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 16.8) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 23.8) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (ร้อยละ 5.4) ส่วนสินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 14.4, 5.7 และ 6.9 ตามลำดับ
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าเดือนเมษายน 2550 ไทยเกินดุลการค้า 255.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 4 เดือนแรกปี 2550 เกินดุลการค้ารวม 4,526.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดดุลการค้า 1,071 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้า
แนวโน้มการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้ส่งออกครั้งล่าสุดเมื่อเดือน เมษายน 2550 ผู้ส่งออกยังคงมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 12.5 เนื่องจากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกมั่นใจในการทำการค้ามากขึ้น ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการผลักดันให้เกิดการขยายการส่งออกทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและการติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้า
เพื่อให้การนำเข้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้มีการดูแลการนำเข้าโดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าเป็นรายเดือนรวม 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทองคำ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เครื่องจักรการเกษตร คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ และมีการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่
แนวโน้มการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่สำคัญ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เหล็ก ในเดือนพฤษภาคม 2550 ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ 1.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่มีการนำเข้า 1.02 ล้านตัน ตามความต้องการใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและทดแทน stock เดิมที่ใช้ไป ส่วนการนำเข้าทองคำ ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ 13.73 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งมีการนำเข้าเพียง 4.6 ตัน เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงและราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้คนหันไปถือทองคำมากขึ้น ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจะเป็นไปตามแผนที่ผู้นำเข้าแจ้งไว้กับกระทรวงพลังงาน คือนำเข้าปริมาณ 841,000 บาร์เรล/วัน
สำหรับการนำเข้าสินค้าทุนที่สำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและผลักดันการส่งออกให้มากขึ้นเพื่อชดเชยการบริโภคภายใน ประเทศที่ชะลอตัว และมีการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมอยู่ระดับสูงถึง ร้อยละ 80.1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นกันตามความต้องการใช้ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งนำมาใช้ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะลดลง เนื่องจากบางโครงการได้เสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ สำหรับการนำเข้าตามโครงการของรัฐฯ หน่วยงานต่างๆ จำนวน 14 หน่วยงาน ได้แจ้งแผนการนำเข้าในเดือนพฤษภาคม มูลค่า 205.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เดือนเมษายน มูลค่า 205.1 ล้านเหรียญสหรัฐ) และนำเข้าทั้งปีประมาณ 1,223.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--