คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 กับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามความหมายของคำว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ญาติ ผู้กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหา และคณะกรรมการ ป.ป.ช.
2. กำหนดห้ามมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คู่สมรส หรือญาติ เข้ามามีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประโยชน์ส่วนรวม โดยกำหนดลักษณะการกระทำที่ถือว่าเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมไว้รวม 5 ประการ พร้อมทั้งกำหนดโทษทางอาญาไว้ด้วย
3. กำหนดให้บรรดาของขวัญ ของที่ระลึก เงิน หรือทรัพย์สินอื่นใดที่มีผู้มอบให้ในโอกาสที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตนหรือราชการอื่นตามที่รับมอบหมาย ไม่ว่าผู้มอบจะระบุว่าให้เป็นการส่วนตัวก็ตาม ให้บรรดาของเหล่านั้นตกเป็นของรัฐทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นสิ่งของที่มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหรือประกาศของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดให้รับไว้ได้
4. กำหนดให้สัญญาของรัฐไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครองที่กระทำโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจซึ่งมีลักษณะเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ให้สัญญานั้นตกเป็นโมฆะ
ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า สัญญาของรัฐตามวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาตามประเภทสัญญาของรัฐ แล้วแต่กรณีเป็นผู้วินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยนั้นผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย
5. กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดทำข้อกำหนดและคู่มือการปฏิบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประโยชน์ส่วนรวม
6. กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม โดยให้นำบทบัญญัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาบังคับใช้โดยอนุโลม
7. กำหนดให้ในกรณีที่มีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม หรือกรณีได้รับการแจ้งเบาะแสถึงพฤติการณ์ที่ส่อว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ได้ระบุชื่อผู้แจ้ง หากคำกล่าวหานั้นมีสาระสำคัญเพียงพอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และหากพบว่ามีมูลให้ถือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กล่าวและให้ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยต่อไป
8. กำหนดให้ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาใช้บังคับ
9. กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คน ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนใดคนหนึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้ง 2 สภารวมกันไม่น้อยกว่า 50 คน มีสิทธิเข้าชื่อต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้มีการไต่สวนเพื่อระงับการดำเนินงานโครงการของรัฐใด ๆ ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีพฤติการณ์เชื่อได้ว่ามีการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อของประชาชน
มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ให้ระงับโครงการให้ทำเป็นคำสั่งและให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด โดยให้ประกาศคำสั่งนั้นลงในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีที่โครงการนั้นมีการลงนามในสัญญาแล้ว ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาตามประเภทสัญญาของรัฐแล้วแต่กรณีเป็นผู้วินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยนั้นผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย
10. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมีหน้าที่เป็นหน่วยธุรการในการดูแล ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
11. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 16 มกราคม 2550--จบ--
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามความหมายของคำว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ญาติ ผู้กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหา และคณะกรรมการ ป.ป.ช.
2. กำหนดห้ามมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คู่สมรส หรือญาติ เข้ามามีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประโยชน์ส่วนรวม โดยกำหนดลักษณะการกระทำที่ถือว่าเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมไว้รวม 5 ประการ พร้อมทั้งกำหนดโทษทางอาญาไว้ด้วย
3. กำหนดให้บรรดาของขวัญ ของที่ระลึก เงิน หรือทรัพย์สินอื่นใดที่มีผู้มอบให้ในโอกาสที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตนหรือราชการอื่นตามที่รับมอบหมาย ไม่ว่าผู้มอบจะระบุว่าให้เป็นการส่วนตัวก็ตาม ให้บรรดาของเหล่านั้นตกเป็นของรัฐทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นสิ่งของที่มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหรือประกาศของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดให้รับไว้ได้
4. กำหนดให้สัญญาของรัฐไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครองที่กระทำโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจซึ่งมีลักษณะเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ให้สัญญานั้นตกเป็นโมฆะ
ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า สัญญาของรัฐตามวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาตามประเภทสัญญาของรัฐ แล้วแต่กรณีเป็นผู้วินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยนั้นผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย
5. กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดทำข้อกำหนดและคู่มือการปฏิบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประโยชน์ส่วนรวม
6. กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม โดยให้นำบทบัญญัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาบังคับใช้โดยอนุโลม
7. กำหนดให้ในกรณีที่มีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม หรือกรณีได้รับการแจ้งเบาะแสถึงพฤติการณ์ที่ส่อว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ได้ระบุชื่อผู้แจ้ง หากคำกล่าวหานั้นมีสาระสำคัญเพียงพอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และหากพบว่ามีมูลให้ถือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กล่าวและให้ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยต่อไป
8. กำหนดให้ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาใช้บังคับ
9. กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คน ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนใดคนหนึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้ง 2 สภารวมกันไม่น้อยกว่า 50 คน มีสิทธิเข้าชื่อต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้มีการไต่สวนเพื่อระงับการดำเนินงานโครงการของรัฐใด ๆ ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีพฤติการณ์เชื่อได้ว่ามีการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อของประชาชน
มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ให้ระงับโครงการให้ทำเป็นคำสั่งและให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด โดยให้ประกาศคำสั่งนั้นลงในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีที่โครงการนั้นมีการลงนามในสัญญาแล้ว ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาตามประเภทสัญญาของรัฐแล้วแต่กรณีเป็นผู้วินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยนั้นผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย
10. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมีหน้าที่เป็นหน่วยธุรการในการดูแล ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
11. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 16 มกราคม 2550--จบ--