การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 2, 2011 15:44 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้

1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 เรื่อง การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ

2. อนุมัติหลักการให้จำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ กค. ถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

2.1 หลักทรัพย์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ

2.2 หลักทรัพย์ที่ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ

2.3 หลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ

3. ในการจำหน่ายหุ้นตามข้อ 2. มอบอำนาจให้ กค. เป็นผู้พิจารณาวิธีการจำหน่าย ราคาหุ้นที่จะจำหน่าย และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหุ้นในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ และนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ ตามแผนของ กค. ต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง

กค. รายงานว่า

1. กค. ถือหุ้นในบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว ประกอบด้วย หลักทรัพย์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ หลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ หลักทรัพย์ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และหลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ

2. ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (26 มกราคม 2542) กค. ยังไม่ได้ดำเนินการจำหน่ายหุ้นที่มีรายชื่อในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากเงื่อนไขที่กำหนดว่า “ให้ดำเนินการในช่วงที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว และภาวะตลาดทุนที่เอื้ออำนวย” ทำให้ไม่สามารถจำหน่ายหุ้นได้ทันภายในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ อีกทั้งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ระบุรายชื่อหุ้นเป็นการเฉพาะเจาะจง จึงไม่สามารถดำเนินการกับหุ้นอื่นที่นอกเหนือจากรายชื่อดังกล่าวได้

3. การเข้าถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวตามข้อ 1. เป็นหุ้นที่ได้มาโดยนิติเหตุ หุ้นที่รัฐบาลเข้าไปร่วมทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระจายการผลิตและการจ้างงานในส่วนภูมิภาคซึ่งปัจจุบันภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปร่วมทุน และหุ้นที่ส่วนราชการได้รับจากการให้สัมปทานแก่ภาคเอกชน แต่ปัจจุบันบริษัทบางแห่งไม่ได้ดำเนินกิจการตามสัมปทานที่ได้รับอนุญาตแล้ว ประกอบกับหุ้นในกิจการดังกล่าว มีอัตราผลตอบแทนต่ำ และไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น จึงเห็นควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี (26 มกราคม 2542) เพื่อให้ครอบคลุมถึงหลักทรัพย์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ หลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ หลักทรัพย์ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่น และหลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 มีนาคม 2554--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ