คณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแล้วมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (ฝ่ายกฎหมายฯ ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน โดยเห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 2) ตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป (ยกเว้นตำแหน่งผู้ว่าการหรือผู้อำนวยการซึ่งใช้สัญญาจ้าง) เพิ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 อีก 1 ขั้น ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไป โดยใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งเอง
ทั้งนี้ การเสนอขอปรับอัตราค่าจ้างให้พนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป เฉพาะรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไปนั้น หากเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ จะทำให้เกิดความแตกต่างในการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 38 แห่ง และอาจทำให้รัฐวิสาหกิจอื่น ๆ เสนอขอปรับอัตราค่าจ้างตามมาอีกมาก ดังนั้น เมื่อพิจารณาโครงสร้างเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2537 แล้ว เห็นสมควรพิจารณาให้ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างไปพร้อมกันทั้งหมดเพื่อความเป็นธรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ทำให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจ ระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 แห่ง คือ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง องค์การตลาดเพื่อการเกษตรกร องค์การสะพานปลา องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เกิดความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดผลกระทบกับการบริหารงานบุคคล
2. รัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ไม่ได้มีเงินตอบแทนอย่างอื่นสำหรับตำแหน่งให้กับพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่เทียบเคียงได้กับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการ
3. รัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ที่ใช้โครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังกำหนด ไม่สามารถกำหนดโครงสร้างเงินเดือนได้เอง และพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปของรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่งไม่ได้รับเงินเดือนขั้นสูงสุดในระดับนั้น ๆ
4. นอกจากนี้ พนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป ถูกจำกัดสิทธิในการเลื่อนขั้นเงินเดือนในการได้รับการเลื่อนขั้นพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 ที่ให้งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษเกินกว่า 1 ขั้น ให้กับพนักงานระดับผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษกว่า 1 ขั้น เฉพาะพนักงานระดับต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่า ประกอบเมื่อพนักงานเกษียณอายุการทำงานพนักงานที่ดำรงตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายลงมาจะได้รับเงินตอบแทนความชอบ 8 เท่าของเงินเดือนส่วนพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปจะได้รับเงินตอบแทนความชอบเพียง 6 เท่าของเงินเดือนเท่านั้น
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้ว เห็นสมควรปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง เฉพาะพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 21 มิถุนายน 2548--จบ--
ทั้งนี้ การเสนอขอปรับอัตราค่าจ้างให้พนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป เฉพาะรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไปนั้น หากเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ จะทำให้เกิดความแตกต่างในการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 38 แห่ง และอาจทำให้รัฐวิสาหกิจอื่น ๆ เสนอขอปรับอัตราค่าจ้างตามมาอีกมาก ดังนั้น เมื่อพิจารณาโครงสร้างเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2537 แล้ว เห็นสมควรพิจารณาให้ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างไปพร้อมกันทั้งหมดเพื่อความเป็นธรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ทำให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจ ระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 แห่ง คือ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง องค์การตลาดเพื่อการเกษตรกร องค์การสะพานปลา องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เกิดความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดผลกระทบกับการบริหารงานบุคคล
2. รัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ไม่ได้มีเงินตอบแทนอย่างอื่นสำหรับตำแหน่งให้กับพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่เทียบเคียงได้กับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการ
3. รัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง ที่ใช้โครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังกำหนด ไม่สามารถกำหนดโครงสร้างเงินเดือนได้เอง และพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปของรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่งไม่ได้รับเงินเดือนขั้นสูงสุดในระดับนั้น ๆ
4. นอกจากนี้ พนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป ถูกจำกัดสิทธิในการเลื่อนขั้นเงินเดือนในการได้รับการเลื่อนขั้นพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 ที่ให้งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษเกินกว่า 1 ขั้น ให้กับพนักงานระดับผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษกว่า 1 ขั้น เฉพาะพนักงานระดับต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่า ประกอบเมื่อพนักงานเกษียณอายุการทำงานพนักงานที่ดำรงตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายลงมาจะได้รับเงินตอบแทนความชอบ 8 เท่าของเงินเดือนส่วนพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปจะได้รับเงินตอบแทนความชอบเพียง 6 เท่าของเงินเดือนเท่านั้น
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้ว เห็นสมควรปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง เฉพาะพนักงานระดับตั้งแต่ผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 21 มิถุนายน 2548--จบ--