คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 กันยายน 2530 เรื่อง สิทธิพิเศษของ บริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2550 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่เงื่อนไขของสัญญาร่วมทุนสิ้นสุดลง
กระทรวงการคลังรายงานว่า ในการให้สิทธิพิเศษกับบริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด นั้น ส่วนราชการที่ต้องการใช้กระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ กระดาษคอมพิวเตอร์ สิ่งพิมพ์ แบบพิมพ์ แบบฟอร์มหนังสือ หรือสมุดต่าง ๆ ต้องสั่งจากบริษัทฯ และถ้ามีความประสงค์จะจัดพิมพ์เอกสาร สิ่งพิมพ์ สมุดและหนังสือต่าง ๆ ต้องซื้อหรือใช้กระดาษ หรือผลิตภัณฑ์กระดาษบริษัทฯ แต่เพียงแห่งเดียวภายในกำหนดเวลา 20 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญานี้เป็นต้นไป (ลงนามวันที่ 31 มีนาคม 2530 และครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2550) ทั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่า ราคาจะต้องเท่ากับราคาหรือไม่สูงกว่าราคาที่สำนักงบประมาณกำหนดหรือราคากลางแล้วแต่กรณี
ระหว่างที่สัญญายังไม่สิ้นสุด ปรากฏว่า มีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ประชาชน ผู้ประกอบการค้าเกี่ยวกับกระดาษ และผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ ได้ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชน หน่วยงานของรัฐและกระทรวงการคลังมาโดยตลอดว่า บริษัทฯ ขายสินค้าราคาสูงกว่าท้องตลาด โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทำให้รัฐสูญเสียเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกระดาษของบริษัทฯ มีคุณลักษณะและคุณภาพไม่เหมาะสมและไม่ตรงกับความต้องการใช้งานของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหากใช้กับงานพิมพ์จะทำให้เครื่องพิมพ์ชำรุดและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกระดาษประเภทเดียวกันกับที่บริษัทฯ จำหน่ายในราคาที่เท่ากัน แต่มีคุณภาพดีกว่าที่จะซื้อจากบริษัทฯ จึงนับว่าการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ ดังกล่าว เป็นการผูกขาดทางการค้าและไม่เป็นธรรมต่อหน่วยงานภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน จึงขอให้มีการทบทวนหรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 กันยายน 2530 เรื่อง สิทธิพิเศษของบริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด
คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจได้มีการประชุมอย่างต่อเนื่องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาข้อร้องเรียนดังกล่าว และได้หารือในประเด็นข้อกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ได้ข้อยุติสรุปได้ว่า
1.ประเด็นที่เกี่ยวกับสัญญาและมติคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นเรื่องข้อสัญญาของการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ในส่วนของมติคณะรัฐมนตรีมิได้เป็นกฎหมาย แต่เป็นเรื่องนโยบายรัฐบาลที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต้องปฏิบัติตาม การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีจึงสามารถกระทำได้ แต่ย่อมกระทบถึงสัญญาที่รัฐมีข้อผูกพันกับบริษัทฯ ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา ซึ่งหากรัฐเป็นฝ่ายผิดสัญญา ก็ย่อมต้องชดใช้ความเสียหายให้แก่บริษัทฯ
2. ประเด็นข้อกฎหมาย เห็นว่า การให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ เป็นนโยบายการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ ซื้อกระดาษจากบริษัทที่รัฐมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า นโยบายดังกล่าวไม่เป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี โดยอาศัยกลไกตลาด คณะรัฐมนตรีก็สามารถยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เคยกำหนดไว้แต่เดิมได้ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษฯ ได้พิจารณาความเห็นของที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นควรให้คงสิทธิพิเศษนี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา ในปี พ.ศ. 2550 เพื่อมิให้เป็นภาระกับงบประมาณ
ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้บริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษในการจำหน่ายกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ รวมถึงการจัดพิมพ์เอกสาร สิ่งพิมพ์ สมุดและหนังสือ ต่าง ๆ ที่ต้องกำหนดให้ผู้รับจ้างใช้กระดาษหรือผลิตภัณฑ์กระดาษเฉพาะที่ผลิตจากบริษัทฯ นั้น เป็นไปเพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทฯ ตามนัยข้อ 6 ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน คือ 20 ปี นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเมื่อปรากฏว่า ขณะนี้ได้ครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2550 ดังนั้น ภาระผูกพันที่รัฐมีอยู่ตามเงื่อนไขของสัญญาเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2530 จึงเป็นอันสิ้นสุดลงทันที
สำหรับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอให้คงสิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ ต่อไปอีก เป็นเวลา 10 ปี เพื่อให้บริษัทฯ มีความมั่นคงต่อไปอีก นั้น คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเห็นว่า ข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีเหตุผลพิเศษที่จะนำมาพิจารณาให้สิทธิพิเศษต่อไปอีก นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการดำเนินกิจการโดยปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจการค้ากระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษจนเป็นที่ยอมรับในตลาดโดยทั่วไปแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯ มีผลประกอบการที่มีกำไรติดต่อกันมาโดยตลอด แม้ปัจจุบันรัฐมีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย ก็ไม่สมควรที่จะให้มีการผูกขาดทางการค้า ที่ไม่เป็นธรรมแก่ภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน เห็นสมควรให้บริษัทฯ ได้เข้าไปสู่ธุรกิจการแข่งขันในตลาดการค้าอย่างเต็มที่ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุน และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในตลาดการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดและเปิดโอกาสให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ สามารถเลือกใช้กระดาษและผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความต้องการใช้งานของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนั้น จึงเห็นสมควรไม่ขยายระยะเวลาการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ อีกต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 พฤษภาคม 2550--จบ--
กระทรวงการคลังรายงานว่า ในการให้สิทธิพิเศษกับบริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด นั้น ส่วนราชการที่ต้องการใช้กระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ กระดาษคอมพิวเตอร์ สิ่งพิมพ์ แบบพิมพ์ แบบฟอร์มหนังสือ หรือสมุดต่าง ๆ ต้องสั่งจากบริษัทฯ และถ้ามีความประสงค์จะจัดพิมพ์เอกสาร สิ่งพิมพ์ สมุดและหนังสือต่าง ๆ ต้องซื้อหรือใช้กระดาษ หรือผลิตภัณฑ์กระดาษบริษัทฯ แต่เพียงแห่งเดียวภายในกำหนดเวลา 20 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญานี้เป็นต้นไป (ลงนามวันที่ 31 มีนาคม 2530 และครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2550) ทั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่า ราคาจะต้องเท่ากับราคาหรือไม่สูงกว่าราคาที่สำนักงบประมาณกำหนดหรือราคากลางแล้วแต่กรณี
ระหว่างที่สัญญายังไม่สิ้นสุด ปรากฏว่า มีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ประชาชน ผู้ประกอบการค้าเกี่ยวกับกระดาษ และผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ ได้ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชน หน่วยงานของรัฐและกระทรวงการคลังมาโดยตลอดว่า บริษัทฯ ขายสินค้าราคาสูงกว่าท้องตลาด โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทำให้รัฐสูญเสียเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกระดาษของบริษัทฯ มีคุณลักษณะและคุณภาพไม่เหมาะสมและไม่ตรงกับความต้องการใช้งานของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหากใช้กับงานพิมพ์จะทำให้เครื่องพิมพ์ชำรุดและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกระดาษประเภทเดียวกันกับที่บริษัทฯ จำหน่ายในราคาที่เท่ากัน แต่มีคุณภาพดีกว่าที่จะซื้อจากบริษัทฯ จึงนับว่าการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ ดังกล่าว เป็นการผูกขาดทางการค้าและไม่เป็นธรรมต่อหน่วยงานภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน จึงขอให้มีการทบทวนหรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 กันยายน 2530 เรื่อง สิทธิพิเศษของบริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด
คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจได้มีการประชุมอย่างต่อเนื่องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาข้อร้องเรียนดังกล่าว และได้หารือในประเด็นข้อกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ได้ข้อยุติสรุปได้ว่า
1.ประเด็นที่เกี่ยวกับสัญญาและมติคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นเรื่องข้อสัญญาของการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ในส่วนของมติคณะรัฐมนตรีมิได้เป็นกฎหมาย แต่เป็นเรื่องนโยบายรัฐบาลที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต้องปฏิบัติตาม การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีจึงสามารถกระทำได้ แต่ย่อมกระทบถึงสัญญาที่รัฐมีข้อผูกพันกับบริษัทฯ ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา ซึ่งหากรัฐเป็นฝ่ายผิดสัญญา ก็ย่อมต้องชดใช้ความเสียหายให้แก่บริษัทฯ
2. ประเด็นข้อกฎหมาย เห็นว่า การให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ เป็นนโยบายการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ ซื้อกระดาษจากบริษัทที่รัฐมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า นโยบายดังกล่าวไม่เป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี โดยอาศัยกลไกตลาด คณะรัฐมนตรีก็สามารถยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เคยกำหนดไว้แต่เดิมได้ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษฯ ได้พิจารณาความเห็นของที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นควรให้คงสิทธิพิเศษนี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา ในปี พ.ศ. 2550 เพื่อมิให้เป็นภาระกับงบประมาณ
ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้บริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษในการจำหน่ายกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ รวมถึงการจัดพิมพ์เอกสาร สิ่งพิมพ์ สมุดและหนังสือ ต่าง ๆ ที่ต้องกำหนดให้ผู้รับจ้างใช้กระดาษหรือผลิตภัณฑ์กระดาษเฉพาะที่ผลิตจากบริษัทฯ นั้น เป็นไปเพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทฯ ตามนัยข้อ 6 ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน คือ 20 ปี นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเมื่อปรากฏว่า ขณะนี้ได้ครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2550 ดังนั้น ภาระผูกพันที่รัฐมีอยู่ตามเงื่อนไขของสัญญาเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2530 จึงเป็นอันสิ้นสุดลงทันที
สำหรับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอให้คงสิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ ต่อไปอีก เป็นเวลา 10 ปี เพื่อให้บริษัทฯ มีความมั่นคงต่อไปอีก นั้น คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเห็นว่า ข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีเหตุผลพิเศษที่จะนำมาพิจารณาให้สิทธิพิเศษต่อไปอีก นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการดำเนินกิจการโดยปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจการค้ากระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษจนเป็นที่ยอมรับในตลาดโดยทั่วไปแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯ มีผลประกอบการที่มีกำไรติดต่อกันมาโดยตลอด แม้ปัจจุบันรัฐมีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย ก็ไม่สมควรที่จะให้มีการผูกขาดทางการค้า ที่ไม่เป็นธรรมแก่ภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน เห็นสมควรให้บริษัทฯ ได้เข้าไปสู่ธุรกิจการแข่งขันในตลาดการค้าอย่างเต็มที่ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุน และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในตลาดการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดและเปิดโอกาสให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ สามารถเลือกใช้กระดาษและผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความต้องการใช้งานของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนั้น จึงเห็นสมควรไม่ขยายระยะเวลาการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทฯ อีกต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 พฤษภาคม 2550--จบ--