คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขใหม่ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ร่างมาตรา 3)
2. กำหนดให้ทหารประกอบด้วยข้าราชการกระทรวงกลาโหมที่เป็นข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ นักเรียนสังกัดกระทรวงกลาโหมที่ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และบุคคลที่ถูกเรียกเข้ารับราชการทหาร โดยให้แบ่งข้าราชการกระทรวงกลาโหมเป็นสองประเภท คือ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนกลาโหม (ร่างมาตรา 5)
3. กำหนดให้การบริหารราชการกระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 6 และร่างมาตรา 7)
4. กำหนดให้การใช้กำลังทหารนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (ร่างมาตรา 8)
5. ให้แบ่งส่วนราชการกระทรวงกลาโหมออกเป็น 5 ส่วนราชการประกอบด้วยสำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมราชองครักษ์ กองทัพไทยและส่วนราชการอื่นที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 9 ถึงร่างมาตรา 13)
6. ให้บางส่วนราชการกองทัพไทยออกเป็น 5 ส่วนราชการ ประกอบด้วยกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และส่วนราชการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 15-ร่างมาตรา 21)
7. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติราชการกระทรวงกลาโหม โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการแทนได้ และในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้กำหนดให้ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจดำเนินการอนุญาต การอนุมัติ และการปฏิบัติราชการประจำแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ โดยให้อำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้และกำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจอาจมอบอำนาจช่วงได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงกลาโหมกำหนด (ร่างมาตรา 22)
8. กำหนดให้การบริหารจัดการกำลังพล การข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรองทางทหารให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด (ร่างมาตรา 23 และร่างมาตรา 25)
9. กำหนดให้โครงสร้างองค์กรการฝึก และการศึกษาของข้าราชการทหารต้องมีเอกภาพ เชื่อมโยงซึ่งกันและกันตามนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กระทรวงกลาโหมกำหนด และให้มีการกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับระบบส่งกำลังบำรุงและมาตรฐานยุทโธปกรณ์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยให้มีคณะกรรมการส่งกำลังบำรุงร่วมเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ (ร่างมาตรา 26 และร่างมาตรา 27)
10. ให้มีการจัดระเบียบราชการทหารในสถานการณ์ไม่ปกติ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยความเห็นของของสภากลาโหม และกองทัพไทย มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และในกรณีที่เห็นสมควรให้มีการใช้กำลังทหารหรือการวางกำลังเพื่อเตรียมการยุทธ ให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหาร และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติภารกิจ และเมื่อการรบหรือสงคราม หรือการปราบปรามกบฎสิ้นสุดลงให้มีอำนาจสั่งยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าวที่กำหนดไว้ได้ รวมทั้งกำหนดพื้นที่ใดเป็นยุทธบริเวณหรือเขตภายในก็ได้ สำหรับการใช้กำลัง
ทหารเพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรงโดยเร็ว ให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด เว้นแต่การใช้กำลังทหารในการปฏิบัติภารกิจเพื่อสันติภาพ ให้เป็นไปโดยความเห็นชอบของสภากลาโหม และมติคณะรัฐมนตรี และให้การปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด (ร่างมาตรา 31 ถึงร่างมาตรา 36)
11. กำหนดให้มี “สภากลาโหม” ประกอบด้วย สมาชิกโดยตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสภากลาโหมโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ซึ่งการดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องได้รับความเห็นชอบจากสภากลาโหม กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งการพ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งกำหนดองค์ประชุมของสภากลาโหมด้วย (ร่างมาตรา 37 ถึง ร่างมาตรา 42)
12. กำหนดให้มี “คณะผู้บัญชาการทหาร” ประกอบด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยมีผู้บัญชาการทหารสูดเป็นประธานคณะผู้บัญชาการทหาร มีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งในยามปกติและในสถานการณ์ไม่ปกติ (ร่างมาตรา 43)
13. ในบทเฉพาะกาล
13.1 ให้โอนบรรดาทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณของกองบัญชาการทหารสูงสุด ไปเป็นของกองบัญชาการกองทัพไทยตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 44)
13.2 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ตราพระราชกฤษีกากำหนดส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ส่วนราชการ เพื่อรองรับกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 48)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 24 เมษายน 2550--จบ--
ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ร่างมาตรา 3)
2. กำหนดให้ทหารประกอบด้วยข้าราชการกระทรวงกลาโหมที่เป็นข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ นักเรียนสังกัดกระทรวงกลาโหมที่ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และบุคคลที่ถูกเรียกเข้ารับราชการทหาร โดยให้แบ่งข้าราชการกระทรวงกลาโหมเป็นสองประเภท คือ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนกลาโหม (ร่างมาตรา 5)
3. กำหนดให้การบริหารราชการกระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 6 และร่างมาตรา 7)
4. กำหนดให้การใช้กำลังทหารนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (ร่างมาตรา 8)
5. ให้แบ่งส่วนราชการกระทรวงกลาโหมออกเป็น 5 ส่วนราชการประกอบด้วยสำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมราชองครักษ์ กองทัพไทยและส่วนราชการอื่นที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 9 ถึงร่างมาตรา 13)
6. ให้บางส่วนราชการกองทัพไทยออกเป็น 5 ส่วนราชการ ประกอบด้วยกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และส่วนราชการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ (ร่างมาตรา 15-ร่างมาตรา 21)
7. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติราชการกระทรวงกลาโหม โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการแทนได้ และในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้กำหนดให้ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจดำเนินการอนุญาต การอนุมัติ และการปฏิบัติราชการประจำแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ โดยให้อำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้และกำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจอาจมอบอำนาจช่วงได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงกลาโหมกำหนด (ร่างมาตรา 22)
8. กำหนดให้การบริหารจัดการกำลังพล การข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรองทางทหารให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด (ร่างมาตรา 23 และร่างมาตรา 25)
9. กำหนดให้โครงสร้างองค์กรการฝึก และการศึกษาของข้าราชการทหารต้องมีเอกภาพ เชื่อมโยงซึ่งกันและกันตามนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กระทรวงกลาโหมกำหนด และให้มีการกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับระบบส่งกำลังบำรุงและมาตรฐานยุทโธปกรณ์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยให้มีคณะกรรมการส่งกำลังบำรุงร่วมเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ (ร่างมาตรา 26 และร่างมาตรา 27)
10. ให้มีการจัดระเบียบราชการทหารในสถานการณ์ไม่ปกติ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยความเห็นของของสภากลาโหม และกองทัพไทย มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และในกรณีที่เห็นสมควรให้มีการใช้กำลังทหารหรือการวางกำลังเพื่อเตรียมการยุทธ ให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหาร และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติภารกิจ และเมื่อการรบหรือสงคราม หรือการปราบปรามกบฎสิ้นสุดลงให้มีอำนาจสั่งยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าวที่กำหนดไว้ได้ รวมทั้งกำหนดพื้นที่ใดเป็นยุทธบริเวณหรือเขตภายในก็ได้ สำหรับการใช้กำลัง
ทหารเพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรงโดยเร็ว ให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด เว้นแต่การใช้กำลังทหารในการปฏิบัติภารกิจเพื่อสันติภาพ ให้เป็นไปโดยความเห็นชอบของสภากลาโหม และมติคณะรัฐมนตรี และให้การปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด (ร่างมาตรา 31 ถึงร่างมาตรา 36)
11. กำหนดให้มี “สภากลาโหม” ประกอบด้วย สมาชิกโดยตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสภากลาโหมโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ซึ่งการดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องได้รับความเห็นชอบจากสภากลาโหม กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งการพ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งกำหนดองค์ประชุมของสภากลาโหมด้วย (ร่างมาตรา 37 ถึง ร่างมาตรา 42)
12. กำหนดให้มี “คณะผู้บัญชาการทหาร” ประกอบด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยมีผู้บัญชาการทหารสูดเป็นประธานคณะผู้บัญชาการทหาร มีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งในยามปกติและในสถานการณ์ไม่ปกติ (ร่างมาตรา 43)
13. ในบทเฉพาะกาล
13.1 ให้โอนบรรดาทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณของกองบัญชาการทหารสูงสุด ไปเป็นของกองบัญชาการกองทัพไทยตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 44)
13.2 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ตราพระราชกฤษีกากำหนดส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ส่วนราชการ เพื่อรองรับกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 48)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 24 เมษายน 2550--จบ--