คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการปฏิบัติภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
ตามที่นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมแถลงข่าวกับมูลนิธิคลินตัน ณ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8 -10 พฤษภาคม 2550 และ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 60 ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 14 — 18 พฤษภาคม 2550 รวมทั้งการปรึกษาหารือร่วมกับ US Trade Representative และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่องการบังคับใช้สิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอดส์ และยาอื่น ๆ ที่ได้ประกาศใช้ ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 20 — 22 พฤษภาคม 2550 นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้สรุปภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในการเดินทางไปราชการ ดังนี้
ภารกิจ ณ นครนิวยอร์ค ระหว่างวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2550
1. การร่วมแถลงข่าวกับมูลนิธิคลินตัน เรื่อง “การจัดซื้อยาต้านไวรัสเอดส์ ร่วมกันระดับโลก”
การเข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิคลินตันครั้งนี้ ช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับผู้ซื้อ ซึ่งทำให้ได้ยาในราคาที่ต่ำลง โดยบริษัท Matrix ได้ประกาศราคายาต้านไวรัสเอดส์สูตรดื้อยา (Lopinavir/Ritonavir) ที่ไม่ต้องแช่เย็น เหลือเพียง 695 เหรียญสหรัฐ ต่อคนต่อปี โดยถูกกว่าบริษัทแอบบอตที่เสนอ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี
การเข้าร่วมโครงการนี้ไม่ผูกมัดว่าจะต้องซื้อยาตามโครงการนี้เท่านั้น แต่ยังคงสามารถจัดซื้อยาจากแหล่งอื่นหรือวิธีการอื่นๆ ได้ หากเห็นว่ามีเงื่อนไขที่ดีกว่าหรือราคาถูกกว่าราคาที่มูลนิธิฯ จัดหาให้
อดีตประธานาธิบดีคลินตัน ยังได้แสดงความเห็นด้วยและสนับสนุนการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ์ต่อสิทธิบัตรของยาดังกล่าวของประเทศไทยและบราซิลอย่างเต็มที่
2. การเจรจากับประธานภูมิภาคเอเชียของบริษัทเมอร์คฯ โดยบริษัทยินดีเสนอข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะหากคิดรวมกันแล้วจะเท่ากับลดราคายาเอฟาวิเรนซ์ลงไปอีกมากจนใกล้เคียงกับราคายาชื่อสามัญจากประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อเสนอไปว่าถ้าบริษัทสามารถจำหน่ายยาในราคาที่สูงกว่ายาชื่อสามัญไม่เกินร้อยละ 5 ก็จะซื้อยาจากบริษัทเมอร์ค แต่จะไม่มีข้อผูกมัดระยะยาว โดยจะตัดสินใจเป็นครั้งๆ ไป
การประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 60 วันที่ 12-23 พ.ค. 2550
1. การลงนามกับองค์การอนามัยโลกเพื่อสนับสนุนการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม มีกำลังการผลิตได้ปีละ 1 แสนโดส หากจำเป็นจะสามารถขยายการผลิตได้ถึง 3 แสนโดส ซึ่งเพียงพอในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หากมีการระบาดใหญ่
2. บทบาทนำของผู้แทนไทย
2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ โดยเน้นเรื่องการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงยาที่จำเป็นและความจำเป็นในการใช้สิทธิบัตรยาโดยรัฐ รวมทั้งเรื่องการแบ่งปันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และ เรื่องการควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์
2.2 นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค (นักวิชาการสาธารณสุข 11 ชช) รับเชิญเป็นผู้ร่วมอภิปรายในวาระวิชาการ โดยได้แสดงความเห็นที่เป็นกลางและมุ่งเน้นการสร้างระบบการแบ่งผลประโยชน์จากการแบ่งปันไวรัสที่เป็นธรรมเหมาะสมไม่สุดโต่งจนเกินไป และยังเป็นประธานการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
2.3 นายแพทย์วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 9 รักษาการในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข 10 ชช. (ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข) รับเชิญเป็นประธานคณะทำงานร่างมติสมัชชาอนามัยโลก ในเรื่องการแบ่งปันไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกที่เป็นธรรมและโปร่งใส ใช้เวลาในการประชุมถึง 7 วัน 10 รอบ จึงได้ร่างมติที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้แสดงความชื่นชมไทยเป็นอย่างมาก ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีมากในเวทีระหว่างประเทศ
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS)
นายแพทย์ปีเตอร์ ปิอ็อต ผู้อำนวยการองค์การยูเอ็นเอดส์ ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการของยูเอ็นเอดส์ด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างสูง และ ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยเด่นมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยจะรับตำแหน่งในวันที่ 25 มิถุนายน 2550 นี้ เป็นระยะเวลา 1 ปี
4. ความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องสุขภาพกับนโยบายต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของ นอร์เวย์ ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย บราซิล แอฟริกาใต้ และ เซเนกัล เพื่อปรึกษาการดำเนินการเชื่อมโยงเรื่องสุขภาพและนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ต่อเนื่องมาจากที่ได้มีการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 7 ประเทศ ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการขยายเครือข่ายเรื่องการขับเคลื่อนด้านสุขภาพกับนโยบายต่างประเทศดังกล่าวออกไป และมีข้อเสนอให้จัดกิจกรรมพิเศษก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค ในเดือนกันยายน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตถาวรแห่งประเทศไทยประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้เสนอให้มีการจัดประชุมเตรียมการในประเทศไทยด้วย
5. ความร่วมมือด้านสุขภาพทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี
5.1 การลงนามข้อตกลงเครือข่ายการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในลุ่มแม่น้ำโขง ระยะเวลา 5 ปี ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ของ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว และ สหภาพพม่า
5.2 การเจรจาทวิภาคีกับประเทศบราซิล ศรีลังกา และเนปาล โดยได้ข้อสรุปที่จะมีการลงนามความร่วมมือกับประเทศบราซิล ในเดือนสิงหาคม และความร่วมมือในการจำหน่ายยา วัคซีนและเซรุ่มให้แก่ศรีลังกาแบบรัฐต่อรัฐ รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนากำลังคนและการสนับสนุนการจัดสร้างศูนย์อนามัยแม่และเด็ก ณ พุทธคยา ให้แก่เนปาล
5.3 การเจรจากับผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เรื่องความร่วมมือในการจัดประชุมรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และการสนับสนุนการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่
6. บทบาทคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ผู้แทนไทยทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ในเกือบทุกวาระของการประชุม จนเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างสูง โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างของการสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นผู้นำในเวทีโลก ที่สำคัญยังมีการผ่านมติที่ขอให้ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนทางนโยบายและวิชาการแก่ประเทศที่ต้องการใช้มาตรการการบังคับใช้สิทธิ์ด้วย
ภารกิจ ณ นคร วอชิงตัน ดี.ซี. วันที่ 20-22 พ.ค. 2550
1. คณะจากกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าพบกับบุคคล 3 กลุ่ม คือ
1.1 ฝ่ายบริหาร ได้แก่ รองผู้แทนการค้า (นายจอห์น เวโรโน) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายคาร์ลอส กูเตียเรส)
1.2 ฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งผู้ที่สนับสนุน (5 ท่าน) และผู้ที่คัดค้าน (3 ท่าน)
1.3 ฝ่ายธุรกิจ ได้แก่ ผู้แทนสมาคมธุรกิจยาสหรัฐ (PhRMA) และ ผู้แทนสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน
2. ได้ข้อสรุปจากการพบปะและทำความเข้าใจกันดังนี้
2.1 ทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการที่ไทยจะดำเนินการบังคับใช้สิทธิ์กับยาอีกกว่า 30 รายการ ซึ่งจะทำให้กลไกการบังคับใช้สิทธิ์กลายเป็นกลไกปกติแทนที่จะใช้เฉพาะกรณีจำเป็น และเรื่องการประกาศเพื่อแสดงเจตนาที่จะใช้สิทธิ์เพื่อให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง ยังไม่ใช่การบังคับใช้จริง ซึ่งภายหลังการชี้แจงทุกฝ่ายมีความเข้าใจดีขึ้นมาก
2.2 ไม่มีฝ่ายใดติดใจสงสัยในประเด็นเรื่องข้อกฎหมายและความโปร่งใส มีแต่การยกประเด็นความเหมาะสม ที่จะกระทบต่อการวิจัยพัฒนายาชนิดใหม่ๆ และบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย
2.3 ภายหลังการพบปะหารือ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มีท่าทีที่ดีขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายธุรกิจยังไม่พอใจ และต้องการให้ไทยประกาศยกเลิกการบังคับใช้สิทธิ์โดยทันที ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติมีความเข้าใจที่ดีขึ้นมาก บางรายถึงกับออกแถลงการณ์สนับสนุนไทยทันทีหลังจากเข้าพบ เช่น สส. เฮนรี แวกซ์แมน
2.4 บริษัทเมอร์คได้เข้าพบเจรจาอีกครั้งและมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม โดยจะมีการให้ยาผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อเอดส์ฟรี ซึ่งคิดมูลค่าแล้วเท่ากับลดราคายาลงมามาก และจะเสนอราคายาอย่างเป็นทางการมาโดยเร็วที่สุด
2.5 เป็นครั้งแรกที่บริษัทแอบบอต ได้เสนอการลดราคามาอย่างเป็นทางการ โดยได้ทำการยื่น ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย แต่ราคายายังสูงกว่าของ Matrix เกือบร้อยละ 50 และยังมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่บังคับใช้สิทธิ์จึงจะมายื่นจดทะเบียนยา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมอบให้คณะกรรมการเจรจาราคายาพิจารณาต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 พฤษภาคม 2550--จบ--
ตามที่นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมแถลงข่าวกับมูลนิธิคลินตัน ณ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8 -10 พฤษภาคม 2550 และ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 60 ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 14 — 18 พฤษภาคม 2550 รวมทั้งการปรึกษาหารือร่วมกับ US Trade Representative และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่องการบังคับใช้สิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอดส์ และยาอื่น ๆ ที่ได้ประกาศใช้ ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 20 — 22 พฤษภาคม 2550 นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้สรุปภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในการเดินทางไปราชการ ดังนี้
ภารกิจ ณ นครนิวยอร์ค ระหว่างวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2550
1. การร่วมแถลงข่าวกับมูลนิธิคลินตัน เรื่อง “การจัดซื้อยาต้านไวรัสเอดส์ ร่วมกันระดับโลก”
การเข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิคลินตันครั้งนี้ ช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับผู้ซื้อ ซึ่งทำให้ได้ยาในราคาที่ต่ำลง โดยบริษัท Matrix ได้ประกาศราคายาต้านไวรัสเอดส์สูตรดื้อยา (Lopinavir/Ritonavir) ที่ไม่ต้องแช่เย็น เหลือเพียง 695 เหรียญสหรัฐ ต่อคนต่อปี โดยถูกกว่าบริษัทแอบบอตที่เสนอ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี
การเข้าร่วมโครงการนี้ไม่ผูกมัดว่าจะต้องซื้อยาตามโครงการนี้เท่านั้น แต่ยังคงสามารถจัดซื้อยาจากแหล่งอื่นหรือวิธีการอื่นๆ ได้ หากเห็นว่ามีเงื่อนไขที่ดีกว่าหรือราคาถูกกว่าราคาที่มูลนิธิฯ จัดหาให้
อดีตประธานาธิบดีคลินตัน ยังได้แสดงความเห็นด้วยและสนับสนุนการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ์ต่อสิทธิบัตรของยาดังกล่าวของประเทศไทยและบราซิลอย่างเต็มที่
2. การเจรจากับประธานภูมิภาคเอเชียของบริษัทเมอร์คฯ โดยบริษัทยินดีเสนอข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะหากคิดรวมกันแล้วจะเท่ากับลดราคายาเอฟาวิเรนซ์ลงไปอีกมากจนใกล้เคียงกับราคายาชื่อสามัญจากประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อเสนอไปว่าถ้าบริษัทสามารถจำหน่ายยาในราคาที่สูงกว่ายาชื่อสามัญไม่เกินร้อยละ 5 ก็จะซื้อยาจากบริษัทเมอร์ค แต่จะไม่มีข้อผูกมัดระยะยาว โดยจะตัดสินใจเป็นครั้งๆ ไป
การประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 60 วันที่ 12-23 พ.ค. 2550
1. การลงนามกับองค์การอนามัยโลกเพื่อสนับสนุนการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม มีกำลังการผลิตได้ปีละ 1 แสนโดส หากจำเป็นจะสามารถขยายการผลิตได้ถึง 3 แสนโดส ซึ่งเพียงพอในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หากมีการระบาดใหญ่
2. บทบาทนำของผู้แทนไทย
2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ โดยเน้นเรื่องการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงยาที่จำเป็นและความจำเป็นในการใช้สิทธิบัตรยาโดยรัฐ รวมทั้งเรื่องการแบ่งปันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และ เรื่องการควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์
2.2 นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค (นักวิชาการสาธารณสุข 11 ชช) รับเชิญเป็นผู้ร่วมอภิปรายในวาระวิชาการ โดยได้แสดงความเห็นที่เป็นกลางและมุ่งเน้นการสร้างระบบการแบ่งผลประโยชน์จากการแบ่งปันไวรัสที่เป็นธรรมเหมาะสมไม่สุดโต่งจนเกินไป และยังเป็นประธานการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
2.3 นายแพทย์วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 9 รักษาการในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข 10 ชช. (ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข) รับเชิญเป็นประธานคณะทำงานร่างมติสมัชชาอนามัยโลก ในเรื่องการแบ่งปันไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกที่เป็นธรรมและโปร่งใส ใช้เวลาในการประชุมถึง 7 วัน 10 รอบ จึงได้ร่างมติที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้แสดงความชื่นชมไทยเป็นอย่างมาก ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีมากในเวทีระหว่างประเทศ
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS)
นายแพทย์ปีเตอร์ ปิอ็อต ผู้อำนวยการองค์การยูเอ็นเอดส์ ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการของยูเอ็นเอดส์ด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างสูง และ ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยเด่นมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยจะรับตำแหน่งในวันที่ 25 มิถุนายน 2550 นี้ เป็นระยะเวลา 1 ปี
4. ความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องสุขภาพกับนโยบายต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของ นอร์เวย์ ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย บราซิล แอฟริกาใต้ และ เซเนกัล เพื่อปรึกษาการดำเนินการเชื่อมโยงเรื่องสุขภาพและนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ต่อเนื่องมาจากที่ได้มีการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 7 ประเทศ ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการขยายเครือข่ายเรื่องการขับเคลื่อนด้านสุขภาพกับนโยบายต่างประเทศดังกล่าวออกไป และมีข้อเสนอให้จัดกิจกรรมพิเศษก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค ในเดือนกันยายน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตถาวรแห่งประเทศไทยประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้เสนอให้มีการจัดประชุมเตรียมการในประเทศไทยด้วย
5. ความร่วมมือด้านสุขภาพทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี
5.1 การลงนามข้อตกลงเครือข่ายการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในลุ่มแม่น้ำโขง ระยะเวลา 5 ปี ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ของ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว และ สหภาพพม่า
5.2 การเจรจาทวิภาคีกับประเทศบราซิล ศรีลังกา และเนปาล โดยได้ข้อสรุปที่จะมีการลงนามความร่วมมือกับประเทศบราซิล ในเดือนสิงหาคม และความร่วมมือในการจำหน่ายยา วัคซีนและเซรุ่มให้แก่ศรีลังกาแบบรัฐต่อรัฐ รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนากำลังคนและการสนับสนุนการจัดสร้างศูนย์อนามัยแม่และเด็ก ณ พุทธคยา ให้แก่เนปาล
5.3 การเจรจากับผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เรื่องความร่วมมือในการจัดประชุมรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และการสนับสนุนการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่
6. บทบาทคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ผู้แทนไทยทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ในเกือบทุกวาระของการประชุม จนเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างสูง โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างของการสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นผู้นำในเวทีโลก ที่สำคัญยังมีการผ่านมติที่ขอให้ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนทางนโยบายและวิชาการแก่ประเทศที่ต้องการใช้มาตรการการบังคับใช้สิทธิ์ด้วย
ภารกิจ ณ นคร วอชิงตัน ดี.ซี. วันที่ 20-22 พ.ค. 2550
1. คณะจากกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าพบกับบุคคล 3 กลุ่ม คือ
1.1 ฝ่ายบริหาร ได้แก่ รองผู้แทนการค้า (นายจอห์น เวโรโน) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายคาร์ลอส กูเตียเรส)
1.2 ฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งผู้ที่สนับสนุน (5 ท่าน) และผู้ที่คัดค้าน (3 ท่าน)
1.3 ฝ่ายธุรกิจ ได้แก่ ผู้แทนสมาคมธุรกิจยาสหรัฐ (PhRMA) และ ผู้แทนสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน
2. ได้ข้อสรุปจากการพบปะและทำความเข้าใจกันดังนี้
2.1 ทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการที่ไทยจะดำเนินการบังคับใช้สิทธิ์กับยาอีกกว่า 30 รายการ ซึ่งจะทำให้กลไกการบังคับใช้สิทธิ์กลายเป็นกลไกปกติแทนที่จะใช้เฉพาะกรณีจำเป็น และเรื่องการประกาศเพื่อแสดงเจตนาที่จะใช้สิทธิ์เพื่อให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง ยังไม่ใช่การบังคับใช้จริง ซึ่งภายหลังการชี้แจงทุกฝ่ายมีความเข้าใจดีขึ้นมาก
2.2 ไม่มีฝ่ายใดติดใจสงสัยในประเด็นเรื่องข้อกฎหมายและความโปร่งใส มีแต่การยกประเด็นความเหมาะสม ที่จะกระทบต่อการวิจัยพัฒนายาชนิดใหม่ๆ และบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย
2.3 ภายหลังการพบปะหารือ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มีท่าทีที่ดีขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายธุรกิจยังไม่พอใจ และต้องการให้ไทยประกาศยกเลิกการบังคับใช้สิทธิ์โดยทันที ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติมีความเข้าใจที่ดีขึ้นมาก บางรายถึงกับออกแถลงการณ์สนับสนุนไทยทันทีหลังจากเข้าพบ เช่น สส. เฮนรี แวกซ์แมน
2.4 บริษัทเมอร์คได้เข้าพบเจรจาอีกครั้งและมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม โดยจะมีการให้ยาผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อเอดส์ฟรี ซึ่งคิดมูลค่าแล้วเท่ากับลดราคายาลงมามาก และจะเสนอราคายาอย่างเป็นทางการมาโดยเร็วที่สุด
2.5 เป็นครั้งแรกที่บริษัทแอบบอต ได้เสนอการลดราคามาอย่างเป็นทางการ โดยได้ทำการยื่น ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย แต่ราคายายังสูงกว่าของ Matrix เกือบร้อยละ 50 และยังมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่บังคับใช้สิทธิ์จึงจะมายื่นจดทะเบียนยา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมอบให้คณะกรรมการเจรจาราคายาพิจารณาต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 พฤษภาคม 2550--จบ--