คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติเสนอ โดยให้กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รับผิดชอบงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านประชาชน และให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
ทั้งนี้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้รับข้อมูลและข้อเสนอเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 2 กรณี ได้แก่ กรณีชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากเรืออวนรุน อวนลาก และกรณีเขตอุทยานแห่งชาติ บูโด-สุไหงปาดีทับที่ทำกินชาวบ้าน โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. กรณีชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากเรืออวนรุนอวนลาก
1.1 สภาพปัญหา ชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากการทำประมงผิดกฎหมายโดยเรืออวนรุน อวนลาก ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขปัญหาโดยชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีร่วมกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ได้ร่วมกันลาดตระเวน ทำให้เรืออวนรุนไม่มีโอกาสทำประมงผิดกฎหมาย การปฏิบัติดังกล่าวก่อให้เกิดผลดีทั้งด้านการแก้ไขปัญหาและการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธามวลชน
1.2 ข้อเสนอ
พื้นที่จังหวัดปัตตานี
1) ให้มีคำสั่งจัดตั้งชุดเฉพาะกิจของจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ประมง ตำรวจตระเวนชายแดน อาสาสมัครชาวบ้าน มีภารกิจเฉพาะการลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการทำประมงอวนรุน อวนลากมีผิดกฎหมายเท่านั้น มีระยะเวลาปฏิบัติงาน 6 เดือน (กันยายน 2548-กุมภาพันธ์ 2549) ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงฤดูมรสุม ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะมีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวประมงพื้นที่จะทำการประมงได้มาก มีโอกาสหารายได้เก็บสะสมไว้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวและประมาณเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม (รอมฎอน) ซึ่งทางราชการควรร่วมกับชาวบ้านปกป้องทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นพิเศษ
2) ให้สนับสนุนงบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเรือตรวจลาดตระเวนยานพาหนะ เจ้าหน้าที่และค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจดังกล่าว ในการออกลาดตระเวนเป็นเงิน 50,000 บาท/เดือน
3) ให้จังหวัด อำเภอ ถือว่าภารกิจนี้ เป็นภารกิจหลักที่มีความสำคัญเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวประมงพื้นบ้าน และสร้างศรัทธามวลชนโดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งมีประมาณ 83,000 คน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควรติดตามสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่จังหวัดนราธิวาส
4) ให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง ห้ามใช้เครื่องมืออวนลาก ใช้ประกอบเรือยนต์ทำการประมงในพื้นที่ทะเลจังหวัดนราธิวาส
2. กรณีเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ทับที่ทำกินชาวบ้าน
2.1 สภาพปัญหา ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ร้องเรียนกรณีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเทือกเขารือเสาะ ป่ายี่งอ ป่าบาเจาะ ป่ากะบุรี ป่าจะกว๊ะ ป่าบูเก๊ะตาแว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ อำเภอบาเจาะ อำเภอรือเสาะ อำเภอยี่งอ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2542 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี พื้นที่รวม 213,125 ไร่
ผลการสำรวจการถือครองที่ดินของชาวบ้าน เมื่อปี 2544-2547 ตามโครงการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ ในพื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี จังหวัดปัตตานี ยะลานราธิวาส พบว่าเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ได้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน สรุปได้ดังนี้
จำนวน พื้นที่ เฉลี่ยพื้นที่ถือครอง
ผู้ถือครอง
(ราย)
จังหวัดปัตตานี 216 2,570ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา 11.90 ไร่/ราย
จังหวัดยะลา 272 4,608 ไร่ 16.94 ไร่/ราย
จังหวัดนราธิวาส 6,497 89,038 ไร่ 1 งาน 43 ตารางวา 13.70 ไร่/ราย
ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบันคือไม่สามารถตัดโค่นต้นยางพาราเพื่อปลูกทดแทนใหม่ได้ ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและรายได้ของชาวบ้านในพื้นที่ข้อเสนอ
1) ให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุญาตให้มีการ “เปลี่ยนต้นไม้” โดยให้ชาวบ้านสามารถทำการตัดโค่นต้นยางพาราที่หมดอายุในที่ดินทำกินของตนเอง ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
2) ให้สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ให้การสงเคราะห์แก่เกษตรกรในการปลูกยางทดแทนในที่ดินทำกินของตนเอง ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้พิจารณาข้อมูลและข้อเสนอแนะทั้งสองกรณีแล้วเห็นว่า กรณีทั้งสองน่าจะเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าและยั่งยืน ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐ และสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งเห็นควรที่รัฐบาลจะพึงให้ความสำคัญและสั่งการ เร่งรัดให้มีผลปฏิบัติโดยเร็ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 สิงหาคม 2548--จบ--
ทั้งนี้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้รับข้อมูลและข้อเสนอเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 2 กรณี ได้แก่ กรณีชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากเรืออวนรุน อวนลาก และกรณีเขตอุทยานแห่งชาติ บูโด-สุไหงปาดีทับที่ทำกินชาวบ้าน โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. กรณีชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากเรืออวนรุนอวนลาก
1.1 สภาพปัญหา ชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาสได้รับความเดือดร้อนจากการทำประมงผิดกฎหมายโดยเรืออวนรุน อวนลาก ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขปัญหาโดยชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีร่วมกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ได้ร่วมกันลาดตระเวน ทำให้เรืออวนรุนไม่มีโอกาสทำประมงผิดกฎหมาย การปฏิบัติดังกล่าวก่อให้เกิดผลดีทั้งด้านการแก้ไขปัญหาและการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธามวลชน
1.2 ข้อเสนอ
พื้นที่จังหวัดปัตตานี
1) ให้มีคำสั่งจัดตั้งชุดเฉพาะกิจของจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ประมง ตำรวจตระเวนชายแดน อาสาสมัครชาวบ้าน มีภารกิจเฉพาะการลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการทำประมงอวนรุน อวนลากมีผิดกฎหมายเท่านั้น มีระยะเวลาปฏิบัติงาน 6 เดือน (กันยายน 2548-กุมภาพันธ์ 2549) ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงฤดูมรสุม ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะมีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวประมงพื้นที่จะทำการประมงได้มาก มีโอกาสหารายได้เก็บสะสมไว้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวและประมาณเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม (รอมฎอน) ซึ่งทางราชการควรร่วมกับชาวบ้านปกป้องทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นพิเศษ
2) ให้สนับสนุนงบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเรือตรวจลาดตระเวนยานพาหนะ เจ้าหน้าที่และค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจดังกล่าว ในการออกลาดตระเวนเป็นเงิน 50,000 บาท/เดือน
3) ให้จังหวัด อำเภอ ถือว่าภารกิจนี้ เป็นภารกิจหลักที่มีความสำคัญเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวประมงพื้นบ้าน และสร้างศรัทธามวลชนโดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งมีประมาณ 83,000 คน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควรติดตามสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่จังหวัดนราธิวาส
4) ให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง ห้ามใช้เครื่องมืออวนลาก ใช้ประกอบเรือยนต์ทำการประมงในพื้นที่ทะเลจังหวัดนราธิวาส
2. กรณีเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ทับที่ทำกินชาวบ้าน
2.1 สภาพปัญหา ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ร้องเรียนกรณีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเทือกเขารือเสาะ ป่ายี่งอ ป่าบาเจาะ ป่ากะบุรี ป่าจะกว๊ะ ป่าบูเก๊ะตาแว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ อำเภอบาเจาะ อำเภอรือเสาะ อำเภอยี่งอ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2542 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี พื้นที่รวม 213,125 ไร่
ผลการสำรวจการถือครองที่ดินของชาวบ้าน เมื่อปี 2544-2547 ตามโครงการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ ในพื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี จังหวัดปัตตานี ยะลานราธิวาส พบว่าเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ได้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน สรุปได้ดังนี้
จำนวน พื้นที่ เฉลี่ยพื้นที่ถือครอง
ผู้ถือครอง
(ราย)
จังหวัดปัตตานี 216 2,570ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา 11.90 ไร่/ราย
จังหวัดยะลา 272 4,608 ไร่ 16.94 ไร่/ราย
จังหวัดนราธิวาส 6,497 89,038 ไร่ 1 งาน 43 ตารางวา 13.70 ไร่/ราย
ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบันคือไม่สามารถตัดโค่นต้นยางพาราเพื่อปลูกทดแทนใหม่ได้ ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและรายได้ของชาวบ้านในพื้นที่ข้อเสนอ
1) ให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุญาตให้มีการ “เปลี่ยนต้นไม้” โดยให้ชาวบ้านสามารถทำการตัดโค่นต้นยางพาราที่หมดอายุในที่ดินทำกินของตนเอง ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
2) ให้สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ให้การสงเคราะห์แก่เกษตรกรในการปลูกยางทดแทนในที่ดินทำกินของตนเอง ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้พิจารณาข้อมูลและข้อเสนอแนะทั้งสองกรณีแล้วเห็นว่า กรณีทั้งสองน่าจะเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าและยั่งยืน ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐ และสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งเห็นควรที่รัฐบาลจะพึงให้ความสำคัญและสั่งการ เร่งรัดให้มีผลปฏิบัติโดยเร็ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 สิงหาคม 2548--จบ--