คณะรัฐมนตรีพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและข้อสังเกตเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วมีมติรับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 คณะที่ 8 และคณะที่ 12) ซึ่งจะมีผลเป็นแนวบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการต่อไป สำหรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรกำชับให้หน่วยงานของรัฐที่ส่งเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงร่างกฎหมายในคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการร่วมของสภา ผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 โดยเคร่งครัดนั้น ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งกำชับไปยังหน่วยงานของรัฐ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเคร่งครัดต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 คณะที่ 8 และคณะที่ 12) มีความเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ที่ได้พิจารณาข้อหารือของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่ง ประเภทผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) มีความเห็นดังนี้
1. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 โดยมาตรา 26 วรรคสี่ กำหนดว่า การได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่ตัดสิทธิข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งดำรงตำแหน่งวิชาการในการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการตามตำแหน่งวิชาการที่ตนครองอยู่ด้วย ซึ่งการที่มาตรา 26 วรรคสี่ บัญญัติหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้บริหารไว้แตกต่างจากกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ย่อมเห็นได้ว่า มีเจตนารมณ์ที่จะบัญญัติหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ดำรงตำแหน่งวิชาการอยู่ด้วยให้แตกต่างจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์เฉพาะของบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหาร จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 26 วรรคสี่ ที่นอกจากจะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารแล้ว ยังไม่ตัดสิทธิในการรับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการที่ตนครองอยู่พร้อมกันด้วย
2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ เป็นระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนดตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้ข้าราชการที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนเท่ากับอัตราเงินประจำตำแหน่งที่ได้รับอยู่เดิม ระเบียบฯ ดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีผลใช้บังคับกับข้าราชการที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งฯ ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน โดยกำหนดให้การได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกับหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ดังนั้น เมื่อตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาที่ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว ผู้นั้นจึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าตอบแทน รายเดือนตามระเบียบกระทรวงการคลังดังกล่าวในอัตราเท่ากับอัตราเงินประจำตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ผู้นั้นได้รับอยู่เพียงตำแหน่งเดียว
3. กรณีที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้กำหนดรับรองสิทธิให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในมหาวิทยาลัยได้รับเงินประจำตำแหน่งทั้งเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารในมหาวิทยาลัยและเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการนั้น เป็นการได้รับตามสิทธิที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และใช้กับกรณีตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้เท่านั้น จึงไม่อาจนำมาอ้างเป็นสิทธิในการรับค่าตอบแทนรายเดือนตามระเบียบกระทรวงการคลังนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 เมษายน 2548--จบ--
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 คณะที่ 8 และคณะที่ 12) มีความเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ที่ได้พิจารณาข้อหารือของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่ง ประเภทผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) มีความเห็นดังนี้
1. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 โดยมาตรา 26 วรรคสี่ กำหนดว่า การได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่ตัดสิทธิข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งดำรงตำแหน่งวิชาการในการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการตามตำแหน่งวิชาการที่ตนครองอยู่ด้วย ซึ่งการที่มาตรา 26 วรรคสี่ บัญญัติหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้บริหารไว้แตกต่างจากกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ย่อมเห็นได้ว่า มีเจตนารมณ์ที่จะบัญญัติหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ดำรงตำแหน่งวิชาการอยู่ด้วยให้แตกต่างจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์เฉพาะของบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหาร จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 26 วรรคสี่ ที่นอกจากจะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารแล้ว ยังไม่ตัดสิทธิในการรับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการที่ตนครองอยู่พร้อมกันด้วย
2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ เป็นระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนดตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้ข้าราชการที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนเท่ากับอัตราเงินประจำตำแหน่งที่ได้รับอยู่เดิม ระเบียบฯ ดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีผลใช้บังคับกับข้าราชการที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งฯ ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน โดยกำหนดให้การได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกับหลักเกณฑ์การได้รับเงินประจำตำแหน่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนฯ ดังนั้น เมื่อตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาที่ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว ผู้นั้นจึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าตอบแทน รายเดือนตามระเบียบกระทรวงการคลังดังกล่าวในอัตราเท่ากับอัตราเงินประจำตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ผู้นั้นได้รับอยู่เพียงตำแหน่งเดียว
3. กรณีที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้กำหนดรับรองสิทธิให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในมหาวิทยาลัยได้รับเงินประจำตำแหน่งทั้งเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารในมหาวิทยาลัยและเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการนั้น เป็นการได้รับตามสิทธิที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และใช้กับกรณีตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้เท่านั้น จึงไม่อาจนำมาอ้างเป็นสิทธิในการรับค่าตอบแทนรายเดือนตามระเบียบกระทรวงการคลังนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 เมษายน 2548--จบ--