คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน2538 เกี่ยวกับเรื่องการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุและที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัด วรรคที่สอง ซึ่งกำหนดว่า"อนึ่ง สำหรับที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดก็ควรให้กระทรวงศึกษาธิการ (กรมการศาสนา) รับไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวโดยอนุโลมด้วย" แล้วมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เป็นประธานกรรมการฯ ที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุและที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดต่อไป โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้
1. การคงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538 ไว้ จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของเอกชนแต่อย่างใด เพราะมติคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ห้ามเด็ดขาดที่จะไม่ให้นำที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดไปจัดหาประโยชน์ หากกระทรวงการคลังหรือกระทรวงศึกษาธิการมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัด ก็สามารถขออนุมัติยกเว้นเป็นกรณี ๆ ไปได้ และคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 ก็ได้มีการประชุมและพิจารณาเรื่องทุกสัปดาห์อยู่แล้ว จะไม่ทำให้เรื่องล่าช้าแต่อย่างใด
2. การที่จะนำที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดไปจัดหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีไปจะช่วยให้มีการกลั่นกรองการใช้ประโยชน์ทางธุรกิจในที่ราชพัสดุหรือที่ศาสนสมบัติกลางหรือของวัดให้มีความเหมาะสม รอบคอบ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่รัฐบาลต้องตามแก้ไขในภายหลัง
3. ในปัจจุบันการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุและที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัด ยังมุ่งเน้นในเชิงพาณิชย์มากเกินไป บางครั้งทำให้เกิดปัญหาด้านการจราจร ปัญหาด้านการวางผังเมือง นอกจากนี้ การก่อสร้างบางแห่งยังไปบดบังทำให้ทัศนียภาพของวัดหรือโบราณสถานบางแห่งไม่สวยงาม มีผลทำให้วัดหรือโบราณสถานแห่งนั้นถูกลดความน่าเลื่อมใส ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้สถานที่ทางศาสนาเป็นแหล่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่ควรคำนึงแต่ในเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงด้านการผังเมือง ทางสังคมหรือสาธารณประโยชน์ และการพัฒนาด้านอื่น ๆ ด้วย
4. สำหรับที่ราชพัสดุแปลงใดที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและเมืองหลัก ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการนำไปจัดหาผลประโยชน์ไปแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 พิจารณาด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538
สำหรับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 กันยายน 2538 ได้กำหนดหลักการว่า ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 - 5 ปี จึงให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) งดเว้นการดำเนินการนำที่ราชพัสดุไปจัดหาประโยชน์ ไม่ว่าจะโดยวิธีประมูลขายหรือแลกเปลี่ยนหรือประมูลให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการพาณิชย์ไว้ชั่วคราวก่อน แต่หากมีความจำเป็นจะต้องนำที่ราชพัสดุแปลงใดไปใช้ประโยชน์โดยไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
อนึ่ง สำหรับที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดก็ควรให้กระทรวงศึกษาธิการ (กรมศาสนา) รับไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวโดยอนุโลมด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 มี.ค. 45--จบ--
-สส-
1. การคงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538 ไว้ จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของเอกชนแต่อย่างใด เพราะมติคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ห้ามเด็ดขาดที่จะไม่ให้นำที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดไปจัดหาประโยชน์ หากกระทรวงการคลังหรือกระทรวงศึกษาธิการมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัด ก็สามารถขออนุมัติยกเว้นเป็นกรณี ๆ ไปได้ และคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 ก็ได้มีการประชุมและพิจารณาเรื่องทุกสัปดาห์อยู่แล้ว จะไม่ทำให้เรื่องล่าช้าแต่อย่างใด
2. การที่จะนำที่ราชพัสดุหรือที่ที่เป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดไปจัดหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีไปจะช่วยให้มีการกลั่นกรองการใช้ประโยชน์ทางธุรกิจในที่ราชพัสดุหรือที่ศาสนสมบัติกลางหรือของวัดให้มีความเหมาะสม รอบคอบ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่รัฐบาลต้องตามแก้ไขในภายหลัง
3. ในปัจจุบันการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุและที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัด ยังมุ่งเน้นในเชิงพาณิชย์มากเกินไป บางครั้งทำให้เกิดปัญหาด้านการจราจร ปัญหาด้านการวางผังเมือง นอกจากนี้ การก่อสร้างบางแห่งยังไปบดบังทำให้ทัศนียภาพของวัดหรือโบราณสถานบางแห่งไม่สวยงาม มีผลทำให้วัดหรือโบราณสถานแห่งนั้นถูกลดความน่าเลื่อมใส ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้สถานที่ทางศาสนาเป็นแหล่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่ควรคำนึงแต่ในเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงด้านการผังเมือง ทางสังคมหรือสาธารณประโยชน์ และการพัฒนาด้านอื่น ๆ ด้วย
4. สำหรับที่ราชพัสดุแปลงใดที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและเมืองหลัก ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการนำไปจัดหาผลประโยชน์ไปแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 พิจารณาด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538
สำหรับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 กันยายน 2538 ได้กำหนดหลักการว่า ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 - 5 ปี จึงให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) งดเว้นการดำเนินการนำที่ราชพัสดุไปจัดหาประโยชน์ ไม่ว่าจะโดยวิธีประมูลขายหรือแลกเปลี่ยนหรือประมูลให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการพาณิชย์ไว้ชั่วคราวก่อน แต่หากมีความจำเป็นจะต้องนำที่ราชพัสดุแปลงใดไปใช้ประโยชน์โดยไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
อนึ่ง สำหรับที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติกลางหรือของวัดก็ควรให้กระทรวงศึกษาธิการ (กรมศาสนา) รับไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวโดยอนุโลมด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 มี.ค. 45--จบ--
-สส-