คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ และเห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายฯ จากการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 ทำให้มีกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานความร่วมมือทางวิชาการเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรวมกรมวิเทศสหการเข้ากับกระทรวงการต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายฯ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.1 ปรับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีสำหรับกรมวิเทศสหการ) รองประธานกรรมการ ออกจากคณะกรรมการนโยบายฯ
1.2 ปรับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีออกจากคณะกรรมการนโยบายฯ เนื่องจากการปรับย้ายสังกัดของกรมวิเทศสหการ
1.3 แต่งตั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นรองประธาน
1.4 แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายฯ จากกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ ดังนี้ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.5 แต่งตั้ง นายกิตติพันธ์ กาญจนพิพัฒน์กุล อดีตอธิบดีกรมวิเทศสหการเป็นที่ปรึกษา
1.6 แต่งตั้งอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นกรรมการ
1.7 เปลี่ยนตำแหน่งกรรมการและเลขานุการจากอธิบดีกรมเศรษฐกิจ เป็นอธิบดีกรมวิเทศสหการ
1.8 ปรับผู้แทนกรมวิเทศสหการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการออก และแต่งตั้งรองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และรองอธิบดีกรมวิเทศสหการเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการแทน
2. แนวนโยบายการให้ความร่วมมือใหม่ ไทยได้ปรับฐานะจากประเทศผู้รับเป็นประเทศผู้ให้ และพร้อมสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนกับประเทศ และองค์การระหว่างประเทศผู้ให้ในอดีต ทั้งในกรอบทวิภาคีไตรภาคี และพหุภาคี โดยได้เน้นปัจจัยหลัก 4 ประการ ในการพิจารณาโครงการ กิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการ คือ 1) เพื่อเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาและให้ประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้น 2) เข้าไปมีบทบาทในกิจกรรมซึ่งประชาคมโลกให้ความสำคัญหรือไทยต้องการเข้าไปให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับสถานะของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศกว้างขวางขึ้น 3) เข้าไปมีบทบาทในที่ที่ประเทศที่สามให้ความสนใจเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์หรือพันธมิตร (partnership) กับประเทศที่สามหรือประเทศสำคัญ ๆ เพิ่มขึ้น 4) ผลประโยชน์ของไทย
2.1 แนวนโยบายหลัก ประกอบด้วย
1) เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน
2) ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางวิชาการของภูมิภาค
3) ช่วยพัฒนาและขจัดความยากจนของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งผลกระทบที่จะส่งผลถึงประเทศไทยโดยการให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในด้านที่ไทยมีศักยภาพ ได้แก่การเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข และอื่น ๆ
4) ร่วมมือกับนานาชาติในรูปของความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาโดยมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ
5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการของไทย
6) ขยายและยกระดับบทบาทและความร่วมมือทางวิชาการของไทยในเวทีโลก
2.2 กลุ่มประเทศเป้าหมาย ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ยังคงเป็นกลุ่มเป้าหมายเดิม ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหภาพพม่า และเวียดนาม
กลุ่มที่ 2 ประเทศที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ เช่น กลุ่มประเทศในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ประเทศที่เป็นเป้าหมายทางการค้าของไทย ตลอดจนประเทศเกิดใหม่หรือกำลังอยู่ในระยะฟื้นฟูประเทศเช่น ประเทศติมอร์ตะวันออก และอัฟกานิสถาน เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน (ยกเว้นประเทศ C/L/M/V) เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้
กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลแต่สมควรที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาวต่อไปเช่น หมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และอื่น ๆ ตามลำดับ
2.3 กรอบความร่วมมือระหวางประเทศเป้าหมาย ได้แก่ GMS, BIMST-EC, IMT-GT, MGC,ASEAN, ACD, APEC, ASEM, CP, AAF, NEPAD และ IOR
3. โครงการอาสาสมัครเพื่อนไทย ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นอย่างมาก และไทยได้มีบทบาทนำในด้านต่าง ๆ รวมทั้งความร่วมมือทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในเวทีโลก ประกอบกับประสบการณ์ด้านการพัฒนา ได้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศซึ่งเป็นที่ชื่นชมของต่างประเทศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะริเริ่มกลไกใหม่ในการดำเนินความช่วยเหลือทางวิชาการในรูปแบบของอาสาสมัคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ เสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมทั้งเสริมสร้างประสบการณ์และพัฒนาบุคลากรของไทยในการปฏิบัติงานในต่างประเทศ โดยจะส่งบุคคลในวัยหนุ่มสาวของไทยไปปฏิบัติงานพัฒนาในกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเพื่อนบ้าน
4. โครงการบัวแก้วสัมพันธ์ วัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติ และเสริมสร้างทัศนคติในเชิงบวกและเครือข่ายความสัมพันธ์กับผู้นำรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศเป้าหมายโดยเฉพาะเพื่อนบ้าน
5. แผนการให้ความร่วมมือติมอร์ตะวันออก ให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ติมอร์ตะวันออก ในการพัฒนาสร้างประเทศและพัฒนาแหล่งนำรายได้เข้าประเทศ เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนา ได้อย่างยั่งยืนได้ด้วยตนเองอันเป็นการปฏิบัติตามข้อหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีติมอร์ตะวันออกโดยเน้นสาขาให้ความร่วมมือ 9 สาขา คือ เกษตร สาธารณสุข ประมง การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว พลังงาน การเจรจาปักปันน่านน้ำอาณาเขต การรักษาความมั่นคงปลอดภัย ในประเทศ และภูมิศาสตร์สารสนเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 4 มีนาคม 46--จบ--
-สส-
1. องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายฯ จากการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 ทำให้มีกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานความร่วมมือทางวิชาการเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรวมกรมวิเทศสหการเข้ากับกระทรวงการต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายฯ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.1 ปรับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีสำหรับกรมวิเทศสหการ) รองประธานกรรมการ ออกจากคณะกรรมการนโยบายฯ
1.2 ปรับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีออกจากคณะกรรมการนโยบายฯ เนื่องจากการปรับย้ายสังกัดของกรมวิเทศสหการ
1.3 แต่งตั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นรองประธาน
1.4 แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายฯ จากกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ ดังนี้ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.5 แต่งตั้ง นายกิตติพันธ์ กาญจนพิพัฒน์กุล อดีตอธิบดีกรมวิเทศสหการเป็นที่ปรึกษา
1.6 แต่งตั้งอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นกรรมการ
1.7 เปลี่ยนตำแหน่งกรรมการและเลขานุการจากอธิบดีกรมเศรษฐกิจ เป็นอธิบดีกรมวิเทศสหการ
1.8 ปรับผู้แทนกรมวิเทศสหการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการออก และแต่งตั้งรองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และรองอธิบดีกรมวิเทศสหการเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการแทน
2. แนวนโยบายการให้ความร่วมมือใหม่ ไทยได้ปรับฐานะจากประเทศผู้รับเป็นประเทศผู้ให้ และพร้อมสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนกับประเทศ และองค์การระหว่างประเทศผู้ให้ในอดีต ทั้งในกรอบทวิภาคีไตรภาคี และพหุภาคี โดยได้เน้นปัจจัยหลัก 4 ประการ ในการพิจารณาโครงการ กิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการ คือ 1) เพื่อเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาและให้ประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้น 2) เข้าไปมีบทบาทในกิจกรรมซึ่งประชาคมโลกให้ความสำคัญหรือไทยต้องการเข้าไปให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับสถานะของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศกว้างขวางขึ้น 3) เข้าไปมีบทบาทในที่ที่ประเทศที่สามให้ความสนใจเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์หรือพันธมิตร (partnership) กับประเทศที่สามหรือประเทศสำคัญ ๆ เพิ่มขึ้น 4) ผลประโยชน์ของไทย
2.1 แนวนโยบายหลัก ประกอบด้วย
1) เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน
2) ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางวิชาการของภูมิภาค
3) ช่วยพัฒนาและขจัดความยากจนของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งผลกระทบที่จะส่งผลถึงประเทศไทยโดยการให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในด้านที่ไทยมีศักยภาพ ได้แก่การเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข และอื่น ๆ
4) ร่วมมือกับนานาชาติในรูปของความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาโดยมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ
5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการของไทย
6) ขยายและยกระดับบทบาทและความร่วมมือทางวิชาการของไทยในเวทีโลก
2.2 กลุ่มประเทศเป้าหมาย ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ยังคงเป็นกลุ่มเป้าหมายเดิม ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหภาพพม่า และเวียดนาม
กลุ่มที่ 2 ประเทศที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ เช่น กลุ่มประเทศในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ประเทศที่เป็นเป้าหมายทางการค้าของไทย ตลอดจนประเทศเกิดใหม่หรือกำลังอยู่ในระยะฟื้นฟูประเทศเช่น ประเทศติมอร์ตะวันออก และอัฟกานิสถาน เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน (ยกเว้นประเทศ C/L/M/V) เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้
กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลแต่สมควรที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาวต่อไปเช่น หมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และอื่น ๆ ตามลำดับ
2.3 กรอบความร่วมมือระหวางประเทศเป้าหมาย ได้แก่ GMS, BIMST-EC, IMT-GT, MGC,ASEAN, ACD, APEC, ASEM, CP, AAF, NEPAD และ IOR
3. โครงการอาสาสมัครเพื่อนไทย ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นอย่างมาก และไทยได้มีบทบาทนำในด้านต่าง ๆ รวมทั้งความร่วมมือทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในเวทีโลก ประกอบกับประสบการณ์ด้านการพัฒนา ได้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศซึ่งเป็นที่ชื่นชมของต่างประเทศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะริเริ่มกลไกใหม่ในการดำเนินความช่วยเหลือทางวิชาการในรูปแบบของอาสาสมัคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ เสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมทั้งเสริมสร้างประสบการณ์และพัฒนาบุคลากรของไทยในการปฏิบัติงานในต่างประเทศ โดยจะส่งบุคคลในวัยหนุ่มสาวของไทยไปปฏิบัติงานพัฒนาในกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเพื่อนบ้าน
4. โครงการบัวแก้วสัมพันธ์ วัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติ และเสริมสร้างทัศนคติในเชิงบวกและเครือข่ายความสัมพันธ์กับผู้นำรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศเป้าหมายโดยเฉพาะเพื่อนบ้าน
5. แผนการให้ความร่วมมือติมอร์ตะวันออก ให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ติมอร์ตะวันออก ในการพัฒนาสร้างประเทศและพัฒนาแหล่งนำรายได้เข้าประเทศ เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนา ได้อย่างยั่งยืนได้ด้วยตนเองอันเป็นการปฏิบัติตามข้อหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีติมอร์ตะวันออกโดยเน้นสาขาให้ความร่วมมือ 9 สาขา คือ เกษตร สาธารณสุข ประมง การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว พลังงาน การเจรจาปักปันน่านน้ำอาณาเขต การรักษาความมั่นคงปลอดภัย ในประเทศ และภูมิศาสตร์สารสนเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 4 มีนาคม 46--จบ--
-สส-