มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 12, 2011 16:50 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงการคลังทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อน และส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง

1. มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีรายละเอียด ดังนี้

1.1 ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรอบระยะเวลาบัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และให้ลดลงคงจัดเก็บอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป

1.2 ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท ทั้งนี้ ได้เพิ่มเงื่อนไขให้การได้รับสิทธิประโยชน์โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมข้างต้น ต้องมีรายได้จากการประกอบกิจการขายสินค้าและการให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท ต่อรอบระยะเวลาบัญชี โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

(1) ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท

(2) ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป

(3) ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

(4) และให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป

(5) อย่างไรก็ดี หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมข้างต้นมีทุนชำระแล้วเกินกว่าที่กำหนดหรือมีรายได้เกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี และในปีต่อๆ ไปจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเดียวกับนิติบุคคลโดยทั่วไป

1.3 สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เคยนำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซึ่งได้รับสิทธิเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ จะได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิเฉพาะรอบระยะเวลาบัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ 20 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป

1.4 ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” โดยให้จัดเก็บในอัตราร้อยละยี่สินห้าของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกินห้าสิบล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2554 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(1) เป็นบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 หรือ

(2) เป็นบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 และไม่เคยได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิหรือ

(3) เป็นบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 และได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิ โดยได้ใช้สิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลครบสามรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ภายในรอบระยะเวลาบัญชี 2553 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 แล้ว

2. ผลกระทบ

กระทรวงการคลังคาดว่า การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลงโดยรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จะมีผลกระทบต่อปีงบประมาณ 2555 เพียงประมาณ 52,500 ล้านบาท แต่มาตรการข้างต้นจะมีส่วนช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนในประเทศรวมถึงการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในระยะยาวชดเชยกับรายได้ที่สูญเสียไป

ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงการคลังทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้สอดรับกับสภาวการณ์และการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนของต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเป็นการดูแลฐานภาษีเงินได้ของประเทศให้สอดคล้องกับการดำเนินการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลครั้งนี้

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 11 ตุลาคม 2554--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ