คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อน และส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี ลงนามต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ด้วยปรากฏว่าประเทศไทยได้เกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรง อันมีผลทำให้ประชาชนต้องประสบกับความเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องให้บุคคลธรรมดา รวมทั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปร่วมกันบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
กระทรวงการคลังรายงานว่าการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปัจจุบันตาม ประมวลรัฎากรบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะได้สิทธิประโยชน์ ดังนี้
1. กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนำเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ ตามมาตรา 47(7) แห่งประมวลรัษฎากร พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 527) พ.ศ. 2554 และตามข้อ 2(70) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลกฎรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
2. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้เท่าที่บริจาคจริง แต่ไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฏีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 527) พ.ศ. 2554
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลร่วมกันบริจาคเงินหรือทรัพย์สินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้มากยิ่งขึ้น จึงเห็นสมควรกำหนดให้สามารถนำจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิการหักรายจ่ายตามปกติอีกเป็นจำนวนร้อยละห้าสิบ ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 11 ตุลาคม 2554--จบ--