คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อการยกเว้นอากรนำเข้าสำหรับเครื่องมือ/อุปกรณ์ที่จะมอบให้แก่หน่วยราชการตามโครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน (Thailand National CFCs Phaseout Plan) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการควบคุม และกำกับดูแลการนำเข้าและการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก และกรมศุลกากร ซึ่งการจัดซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์ดังกล่าว เป็นการจัดซื้อภายใต้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ที่อยู่ในข่ายจะได้รับการยกเว้นภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ในการยกเว้นภาษีอากรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ประเภทที่ 10
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า
1. ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและเลิกการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพื่อการอนุวัติให้เป็นไปตามพิธีสารฯ
2. ภายใต้พิธีสารฯ ประเทศไทยสามารถขอรับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากกองทุนพหุภาคีเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการผลิตให้ใช้กับสารทดแทน รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า (Ozone Trust Fund Grant Agreement, OTF 21926 TH) กับธนาคารโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2537 การดำเนินการที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเป็นจำนวนประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ประมาณ 101 โครงการ ปัจจุบันการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวได้แล้วเสร็จเกือบทุกโครงการ เป็นผลให้ลดการใช้/การนำเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนได้มากกว่าร้อยละ 60เมื่อเทียบกับการใช้/การนำเข้าในปี พ.ศ. 2535
3. แต่ประเทศไทยยังมีพันธกรณีที่จะต้องลดปริมาณการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภท CFCsในปี พ.ศ. 2548 ให้เหลือร้อยละ 50 ของค่าเฉลี่ยการใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2540 ลดลงเหลือร้อยละ 15 ในปีพ.ศ. 2550 และต้องเลิกใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553
4. การทำโครงการขอความช่วยเหลือในลักษณะเดิมที่เป็นการทำโครงการแบบเดี่ยว และต้องระบุรายชื่อผู้รับเงินช่วยเหลือไว้ชัดเจนจึงมีความยุ่งยากและอาจไม่ครอบคลุม ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือของธนาคารโลกจึงได้จัดทำโครงการที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จขึ้น คือ เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กในภาคอุตสาหกรรมการผลิตในการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนจำนวนประมาณ 1,500 ราย และฝึกอบรมเพื่อยกระดับศักยภาพของร้านซ่อมบำรุงทั่วประเทศจำนวนประมาณ 4,000 ราย ให้มีความรู้ความเข้าใจในการซ่อมบำรุงที่ถูกต้องเพื่อให้การใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่เป็นน้ำยาทำความเย็นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยทิ้งออกไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นผู้ฝึกอบรม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการควบคุม และกำกับดูแลการนำเข้าและการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก และกรมศุลกากร ภายใต้โครงการที่เรียกว่า "โครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนThailand National CFCs Phaseout Plan" ซึ่งกองทุนพหุภาคีฯ ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเมื่อเดือนธันวาคมพ.ศ. 2544 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 14,728,626 เหรียญสหรัฐฯ และดำเนินการผ่านธนาคารโลก โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องออกข้อกำหนดห้ามใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนในภาคการผลิต และจะต้องควบคุมปริมาณการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนให้เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังได้แก้ไขสัญญาเพื่อให้ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือในครั้งนี้โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2545 และได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงให้ธนาคารออมสินเป็นผู้บริหารเงินช่วยเหลืออีกหน่วยงานหนึ่งของโครงการแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า
1. ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและเลิกการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพื่อการอนุวัติให้เป็นไปตามพิธีสารฯ
2. ภายใต้พิธีสารฯ ประเทศไทยสามารถขอรับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากกองทุนพหุภาคีเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการผลิตให้ใช้กับสารทดแทน รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า (Ozone Trust Fund Grant Agreement, OTF 21926 TH) กับธนาคารโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2537 การดำเนินการที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเป็นจำนวนประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ประมาณ 101 โครงการ ปัจจุบันการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวได้แล้วเสร็จเกือบทุกโครงการ เป็นผลให้ลดการใช้/การนำเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนได้มากกว่าร้อยละ 60เมื่อเทียบกับการใช้/การนำเข้าในปี พ.ศ. 2535
3. แต่ประเทศไทยยังมีพันธกรณีที่จะต้องลดปริมาณการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภท CFCsในปี พ.ศ. 2548 ให้เหลือร้อยละ 50 ของค่าเฉลี่ยการใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2540 ลดลงเหลือร้อยละ 15 ในปีพ.ศ. 2550 และต้องเลิกใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553
4. การทำโครงการขอความช่วยเหลือในลักษณะเดิมที่เป็นการทำโครงการแบบเดี่ยว และต้องระบุรายชื่อผู้รับเงินช่วยเหลือไว้ชัดเจนจึงมีความยุ่งยากและอาจไม่ครอบคลุม ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือของธนาคารโลกจึงได้จัดทำโครงการที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จขึ้น คือ เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กในภาคอุตสาหกรรมการผลิตในการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนจำนวนประมาณ 1,500 ราย และฝึกอบรมเพื่อยกระดับศักยภาพของร้านซ่อมบำรุงทั่วประเทศจำนวนประมาณ 4,000 ราย ให้มีความรู้ความเข้าใจในการซ่อมบำรุงที่ถูกต้องเพื่อให้การใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่เป็นน้ำยาทำความเย็นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยทิ้งออกไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นผู้ฝึกอบรม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการควบคุม และกำกับดูแลการนำเข้าและการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก และกรมศุลกากร ภายใต้โครงการที่เรียกว่า "โครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนThailand National CFCs Phaseout Plan" ซึ่งกองทุนพหุภาคีฯ ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเมื่อเดือนธันวาคมพ.ศ. 2544 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 14,728,626 เหรียญสหรัฐฯ และดำเนินการผ่านธนาคารโลก โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องออกข้อกำหนดห้ามใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนในภาคการผลิต และจะต้องควบคุมปริมาณการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนให้เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังได้แก้ไขสัญญาเพื่อให้ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือในครั้งนี้โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2545 และได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงให้ธนาคารออมสินเป็นผู้บริหารเงินช่วยเหลืออีกหน่วยงานหนึ่งของโครงการแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-