คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความต้องการด้านการตลาดสินค้าเกษตรที่สำคัญ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
กระทรวงพาณิชย์รายงานการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคการเกษตรที่แท้จริง นอกจากให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ส่วนสำคัญคือการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นด้วยวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างการผลิตและการตลาดที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ได้ประเมินความต้องการด้านการตลาดสินค้าเกษตรสำคัญ3 กลุ่ม 11 สินค้า ซึ่งเป็นสินค้าเป้าหมายในการดำเนินการให้บรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาล ที่จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาทั้งด้านการผลิต การตลาด และการจัดระบบการค้า ดังนี้
1. กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง เมล็ดกาแฟ และไก่เนื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกที่สำคัญ และมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะข้าวและมันสำปะหลัง แม้ว่าไทยจะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก แต่มีข้อจำกัดที่จำเป็นต้องปรับปรุง พัฒนาผลผลิตต่อไร่ และคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น อาทิเช่น
ข้าว ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก และคาดว่าจะสามารถส่งออกได้ในปี 2546/47ประมาณ 8.0 ล้านตัน (ปี 2545/46 ส่งออกได้ 7.58 ล้านตัน) ระดับราคาที่สามารถส่งออกได้ข้าวขาวชนิด 5% ตันละ200 - 220 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศเวียดนามมีราคาต่ำกว่าประมาณ 10 - 30 เหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปีของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 363 กก./ไร่ แต่เวียดนามมีผลผลิตเฉลี่ย 690 - 700 กก./ไร่ การเร่งรัดพัฒนาเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ต้นทุนที่ต่ำลงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายตลาดข้าวของไทยให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้น
มันสำปะหลัง ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเกือบรายเดียวของโลก โดยส่งออกทั้งมันอัดเม็ด มันเส้น และแป้งมันสำปะหลัง จากเดิมส่งออกมันอัดเม็ด 3.173 ล้านตัน มันเส้น 0.034 ล้านตัน แป้งมันสำปะหลัง 1.429 ล้านตันในปี 2543 เป็น มันอัดเม็ด 1.535 ล้านตัน มันเส้น 1.369 ล้านตัน แป้งมันสำปะหลัง 1.629 ล้านตัน ในปี 2545 สภาพการส่งออกแป้งมันสำปะหลังมีการขยายตัวของขนาดตลาดเพิ่มขึ้นแต่ต้องแข่งขันกับแป้งข้าวโพดและแป้งมันฝรั่งด้านการพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังดำเนินการไปได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งผลผลิตเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 2.711 ตัน/ไร่ ในบางพื้นที่มีการใช้พันธุ์ดีสามารถผลิตได้สูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศและใกล้เคียงกับประเทศเวียดนาม (เฉลี่ย 4 - 5 ตัน/ไร่)จึงจำเป็นต้องเร่งรัดขยายการใช้พันธุ์ดีให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมให้มากขึ้น รวมทั้งปรับลดพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่เหมาะสมและปรับเปลี่ยนไปเพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดระบบการผลิตในเชิงกลยุทธ์ต่อไป
เมล็ดกาแฟ ไทยเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายย่อยโดยใช้พันธุ์โรบัสต้า จากเดิมที่เคยมีผลผลิตสูงถึง85,000 ตัน ในปี 2543/44 ปัจจุบันมีผลผลิตเหลือประมาณ 59,000 ตัน มีการใช้ภายในประเทศประมาณ 45,000 ตันแต่ภาวะราคาตลาดโลกที่ค่อนข้างต่ำ และผลผลิตเฉลี่ยของไทย ประมาณ 130 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตของเวียดนามเฉลี่ย262 กก./ไร่ ซึ่งแตกต่างกันมากเป็นอุปสรรคในเชิงรายได้จึงต้องจำกัดพื้นที่การเพาะปลูกที่ไม่เหมาะสม หากไม่จำกัดจะต้องเน้นการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาผลผลิตต่อไร่ให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
2. กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ลำไย เงาะ สุกร และไข่ไก่ เป็นสินค้าที่ยังไม่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง และคุณภาพต่ำ สินค้าบางตัวในกลุ่มนี้ได้มีการส่งออก แต่ยังไม่มั่นคง รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือเมื่อมีผลผลิตส่วนเกิน ทั้งนี้ มีข้อจำกัดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนา อาทิเช่น
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความต้องการใช้ในประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการผลิตไม่เปลี่ยนแปลงโดยมีศักยภาพการผลิตจริงที่ให้ผลผลิต 578 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตของโลกเฉลี่ย 701 กก./ไร่ ซึ่งไม่แตกต่างกันมากนักกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้องรักษาพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญโดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรและสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารในการผลิตปศุสัตว์
ปาล์มน้ำมัน ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหม่ (ส่งออกประมาณปีละ 70,000 - 80,000 ตัน) โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกลำดับ 1 ประมาณ 11.68 ล้านตัน (ร้อยละ 80 - 90 ของผลผลิต)และอินโดนีเซียเป็นอันดับ 2 ประมาณ 5.05 ล้านตัน (ร้อยละ 50 ของผลผลิต) เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตแล้วจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่คุณภาพของผลผลิตของไทยที่ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมีเพียง 15 - 17% ขณะที่มาเลเซียให้เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 19 - 20% จำเป็นต้องมีการพัฒนาคุณภาพและการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสมมากขึ้น
ลำไย ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก โดยโครงสร้างการส่งออกเดิมเป็นการส่งออกลำไยสดลำไยอบแห้ง และลำไยกระป๋อง แต่ปัญหาจากการเรียกร้องของเกษตรกรที่ให้มีการรับจำนำลำไยอบแห้งมากขึ้น ทำให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนไป และเมื่อรัฐบาลรับจำนำลำไยอบแห้งในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดทำให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นจึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูก เร่งใส่ปุ๋ยทำให้ผลผลิตดก เนื้อบาง คุณภาพด้อยลง แต่ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นเกิดปัญหาผลผลิตลำไยล้นตลาด อีกทั้งมีการใช้สารช่วยในการเพาะปลูกนอกฤดู และมีการกระจายการเพาะปลูกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น แนวทางดำเนินการจะต้องมีการดูแลการผลิตลำไยทั้งระบบ โดยจำกัดเขตการเพาะปลูก (Zoning)การช่วยเหลือเกษตรกรเฉพาะผลผลิตลำไยที่อยู่ในฤดูกาลและในพื้นที่ที่กำหนด รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีในการยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตให้ยาวนานขึ้น ตลอดจนการแปรรูปลำไยในรูปแบบต่าง ๆ ในเชิงพาณิชย์ให้แพร่หลาย
3. กลุ่มสินค้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอและต้องนำเข้า ได้แก่ ถั่วเหลือง เดิมผลผลิตถั่วเหลืองของประเทศไทยมีประมาณปีละ 600,000 ตัน ปัจจุบันนี้ผลผลิตมีเพียง 272,000 ตัน ทำให้มีการขยายการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากประมาณ 860,000 ตัน ในปี 2540 เป็น 1.529 ล้านตัน ในปี 2545 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาบราซิล และอาร์เจนติน่า โดยที่ผลผลิตเฉลี่ยของไทยประมาณ 230 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 387 กก./ไร่สำหรับต้นทุนการผลิตของบราซิล เฉลี่ย กก.ละ 3.70 บาท แต่ต้นทุนการผลิตของไทยสูงถึง กก.ละ 8.14 บาท ดังนั้น นโยบายในเรื่องถั่วเหลืองจะต้องมีการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลือง การจำกัดเขตและมุ่งการเพาะปลูกเพื่ออุตสาหกรรมอาหารเป็นประการสำคัญ โดยต้องนำเข้าเมล็ดและกากถั่วเหลืองคุณภาพดีเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
กระทรวงพาณิชย์รายงานการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคการเกษตรที่แท้จริง นอกจากให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ส่วนสำคัญคือการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นด้วยวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างการผลิตและการตลาดที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ได้ประเมินความต้องการด้านการตลาดสินค้าเกษตรสำคัญ3 กลุ่ม 11 สินค้า ซึ่งเป็นสินค้าเป้าหมายในการดำเนินการให้บรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาล ที่จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาทั้งด้านการผลิต การตลาด และการจัดระบบการค้า ดังนี้
1. กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง เมล็ดกาแฟ และไก่เนื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกที่สำคัญ และมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะข้าวและมันสำปะหลัง แม้ว่าไทยจะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก แต่มีข้อจำกัดที่จำเป็นต้องปรับปรุง พัฒนาผลผลิตต่อไร่ และคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น อาทิเช่น
ข้าว ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก และคาดว่าจะสามารถส่งออกได้ในปี 2546/47ประมาณ 8.0 ล้านตัน (ปี 2545/46 ส่งออกได้ 7.58 ล้านตัน) ระดับราคาที่สามารถส่งออกได้ข้าวขาวชนิด 5% ตันละ200 - 220 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศเวียดนามมีราคาต่ำกว่าประมาณ 10 - 30 เหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปีของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 363 กก./ไร่ แต่เวียดนามมีผลผลิตเฉลี่ย 690 - 700 กก./ไร่ การเร่งรัดพัฒนาเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ต้นทุนที่ต่ำลงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายตลาดข้าวของไทยให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้น
มันสำปะหลัง ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเกือบรายเดียวของโลก โดยส่งออกทั้งมันอัดเม็ด มันเส้น และแป้งมันสำปะหลัง จากเดิมส่งออกมันอัดเม็ด 3.173 ล้านตัน มันเส้น 0.034 ล้านตัน แป้งมันสำปะหลัง 1.429 ล้านตันในปี 2543 เป็น มันอัดเม็ด 1.535 ล้านตัน มันเส้น 1.369 ล้านตัน แป้งมันสำปะหลัง 1.629 ล้านตัน ในปี 2545 สภาพการส่งออกแป้งมันสำปะหลังมีการขยายตัวของขนาดตลาดเพิ่มขึ้นแต่ต้องแข่งขันกับแป้งข้าวโพดและแป้งมันฝรั่งด้านการพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังดำเนินการไปได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งผลผลิตเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 2.711 ตัน/ไร่ ในบางพื้นที่มีการใช้พันธุ์ดีสามารถผลิตได้สูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศและใกล้เคียงกับประเทศเวียดนาม (เฉลี่ย 4 - 5 ตัน/ไร่)จึงจำเป็นต้องเร่งรัดขยายการใช้พันธุ์ดีให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมให้มากขึ้น รวมทั้งปรับลดพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่เหมาะสมและปรับเปลี่ยนไปเพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดระบบการผลิตในเชิงกลยุทธ์ต่อไป
เมล็ดกาแฟ ไทยเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายย่อยโดยใช้พันธุ์โรบัสต้า จากเดิมที่เคยมีผลผลิตสูงถึง85,000 ตัน ในปี 2543/44 ปัจจุบันมีผลผลิตเหลือประมาณ 59,000 ตัน มีการใช้ภายในประเทศประมาณ 45,000 ตันแต่ภาวะราคาตลาดโลกที่ค่อนข้างต่ำ และผลผลิตเฉลี่ยของไทย ประมาณ 130 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตของเวียดนามเฉลี่ย262 กก./ไร่ ซึ่งแตกต่างกันมากเป็นอุปสรรคในเชิงรายได้จึงต้องจำกัดพื้นที่การเพาะปลูกที่ไม่เหมาะสม หากไม่จำกัดจะต้องเน้นการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาผลผลิตต่อไร่ให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
2. กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ลำไย เงาะ สุกร และไข่ไก่ เป็นสินค้าที่ยังไม่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง และคุณภาพต่ำ สินค้าบางตัวในกลุ่มนี้ได้มีการส่งออก แต่ยังไม่มั่นคง รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือเมื่อมีผลผลิตส่วนเกิน ทั้งนี้ มีข้อจำกัดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนา อาทิเช่น
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความต้องการใช้ในประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการผลิตไม่เปลี่ยนแปลงโดยมีศักยภาพการผลิตจริงที่ให้ผลผลิต 578 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตของโลกเฉลี่ย 701 กก./ไร่ ซึ่งไม่แตกต่างกันมากนักกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้องรักษาพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญโดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรและสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารในการผลิตปศุสัตว์
ปาล์มน้ำมัน ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหม่ (ส่งออกประมาณปีละ 70,000 - 80,000 ตัน) โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกลำดับ 1 ประมาณ 11.68 ล้านตัน (ร้อยละ 80 - 90 ของผลผลิต)และอินโดนีเซียเป็นอันดับ 2 ประมาณ 5.05 ล้านตัน (ร้อยละ 50 ของผลผลิต) เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตแล้วจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่คุณภาพของผลผลิตของไทยที่ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมีเพียง 15 - 17% ขณะที่มาเลเซียให้เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 19 - 20% จำเป็นต้องมีการพัฒนาคุณภาพและการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสมมากขึ้น
ลำไย ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก โดยโครงสร้างการส่งออกเดิมเป็นการส่งออกลำไยสดลำไยอบแห้ง และลำไยกระป๋อง แต่ปัญหาจากการเรียกร้องของเกษตรกรที่ให้มีการรับจำนำลำไยอบแห้งมากขึ้น ทำให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนไป และเมื่อรัฐบาลรับจำนำลำไยอบแห้งในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดทำให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นจึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูก เร่งใส่ปุ๋ยทำให้ผลผลิตดก เนื้อบาง คุณภาพด้อยลง แต่ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นเกิดปัญหาผลผลิตลำไยล้นตลาด อีกทั้งมีการใช้สารช่วยในการเพาะปลูกนอกฤดู และมีการกระจายการเพาะปลูกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น แนวทางดำเนินการจะต้องมีการดูแลการผลิตลำไยทั้งระบบ โดยจำกัดเขตการเพาะปลูก (Zoning)การช่วยเหลือเกษตรกรเฉพาะผลผลิตลำไยที่อยู่ในฤดูกาลและในพื้นที่ที่กำหนด รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีในการยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตให้ยาวนานขึ้น ตลอดจนการแปรรูปลำไยในรูปแบบต่าง ๆ ในเชิงพาณิชย์ให้แพร่หลาย
3. กลุ่มสินค้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอและต้องนำเข้า ได้แก่ ถั่วเหลือง เดิมผลผลิตถั่วเหลืองของประเทศไทยมีประมาณปีละ 600,000 ตัน ปัจจุบันนี้ผลผลิตมีเพียง 272,000 ตัน ทำให้มีการขยายการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากประมาณ 860,000 ตัน ในปี 2540 เป็น 1.529 ล้านตัน ในปี 2545 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาบราซิล และอาร์เจนติน่า โดยที่ผลผลิตเฉลี่ยของไทยประมาณ 230 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 387 กก./ไร่สำหรับต้นทุนการผลิตของบราซิล เฉลี่ย กก.ละ 3.70 บาท แต่ต้นทุนการผลิตของไทยสูงถึง กก.ละ 8.14 บาท ดังนั้น นโยบายในเรื่องถั่วเหลืองจะต้องมีการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลือง การจำกัดเขตและมุ่งการเพาะปลูกเพื่ออุตสาหกรรมอาหารเป็นประการสำคัญ โดยต้องนำเข้าเมล็ดและกากถั่วเหลืองคุณภาพดีเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-