คณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการแปลงสวนยางเป็นทุน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติโครงการแปลงสวนยางเป็นทุน
2. อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในสวนยางที่ปลูกในป่าสงวนแห่งชาติ (ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507) หรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และนำมาจัดสรรให้เกษตรกรตามระเบียบและกฎเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ สำหรับปี 2547 ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติ หากไม่เพียงพอให้เบิกตามที่จ่ายจริง
โครงการแปลงสวนยางเป็นทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อแปลงไม้ยางของเกษตรกรที่อยู่ในเขตป่าสงวน และของเจ้าของสวนยางสงเคราะห์เป็นทุนและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ยาง และอุตสาหกรรมไม้ยาง ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 529,985 ราย ใน 17 จังหวัด พื้นที่สวนยาง 6,947,931 ไร่ แยกเป็นเกษตรกร 43,225 ราย พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ 1,002,100 ไร่ และเจ้าของสวนยางสงเคราะห์ 486,760 ราย ที่ต้นยางพารามีอายุกว่า 15 ปี พื้นที่ 5,945,831 ไร่ และเกษตรกรที่กล่าวข้างต้นสามารถเข้าสู่แหล่งทุนได้ นอกจากนั้นจะสามารถเพิ่มปริมาณไม้ยางแปรรูปจากปัจจุบันปีละ 6.91 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น15.67 ล้านลูกบาศก์เมตรได้ในปี 2553
วิธีดำเนินงาน แบ่งเกษตรกรปลูกยางเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 "โครงการสวนยางเอื้ออาทร" เป็นเกษตรกรที่ปลูกยางในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เป็นผู้ขอเข้าทำประโยชน์ (ตามนัยมาตรา16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507) และนำมาจัดสรรให้กับเกษตรกรที่ปลูกยางพาราไม่เกินรายละ 30 ไร่ ระยะเวลาร่วมโครงการ 25 ปี ซึ่งเกษตรกรจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด และ อ.ส.ย. จะเป็นผู้นำไม้ยางพาราและน้ำยางออกจากป่าข้างต้น จัดระบบการสงเคราะห์สวนยางทั้งหมดให้เกษตรกร และรับซื้อไม้ยางจากเกษตรกรราคาตลาด ในราคาไม่ต่ำกว่าไร่ละ 30,000 บาท เมื่อสวนยางมีไม้ยางที่ได้คุณภาพ มาตรฐานไม้ และหลักเกณฑ์ที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
กลุ่มที่ 2 เป็นเจ้าของสวนสงเคราะห์ โดยสมัครเข้าร่วมโครงการกับ อ.ส.ย.
การกำหนดมาตรฐาน ให้กรมวิชาการเกษตรร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดมาตรฐานกลางคุณภาพไม้ยางและราคาไม้ยาง
การออกเอกสารสิทธิ ให้ สกย. สำรวจและรังวัดสวนยาง และให้กรมวิชาการเกษตรจดทะเบียนและออกเอกสารสิทธิในนาม "การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)" ให้กับเกษตรกรกลุ่มที่ 1 มีซึ่งจะได้รับเอกสาร 2 ประเภท คือกยท. 1 เป็นเอกสารรับรองสิทธิสวนยาง และ กยท. 2 เป็นเอกสารรับรองมูลค่าไม้ยาง และให้กับเกษตรกรกลุ่มที่ 2จะได้รับ กยท. 2 และเกษตรกรทั้งสองกลุ่มสามารถนำ กยท. 1 และ กยท. 2 ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้
การประเมินมูลค่าไม้ยาง ให้เอกชนผู้มีใบอนุญาตเป็นผู้ประเมินมูลค่าไม้ยาง
การเข้าถึงแหล่งทุน อ.ส.ย. จะจัดระบบและนำไม้ยางทั้งหมดของโครงการเข้าขอทุนจากสถาบันการเงินและทำหน้าที่เป็น clearing house ให้กับสถาบันการเงินที่จัดหนุนให้เกษตรกร
ระยะเวลาดำเนินงาน แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
1. ระยะเร่งด่วน 7 ปี (2547 - 2553) : โครงการสวนยางเอื้ออาทร โดยในปี 2547 ต้องออกเอกสารกยท. 1 และ กยท. 2 ให้แล้วเสร็จ และเริ่มจัดระบบการสงเคราะห์ปีละ 140,000 ไร่ ตั้งแต่ปี 2547 - 2553
2. ระยะเวลาปกติ สำหรับสวนยางสงเคราะห์ตั้งแต่ 2547 เป็นต้นไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
1. อนุมัติโครงการแปลงสวนยางเป็นทุน
2. อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในสวนยางที่ปลูกในป่าสงวนแห่งชาติ (ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507) หรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และนำมาจัดสรรให้เกษตรกรตามระเบียบและกฎเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ สำหรับปี 2547 ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติ หากไม่เพียงพอให้เบิกตามที่จ่ายจริง
โครงการแปลงสวนยางเป็นทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อแปลงไม้ยางของเกษตรกรที่อยู่ในเขตป่าสงวน และของเจ้าของสวนยางสงเคราะห์เป็นทุนและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ยาง และอุตสาหกรรมไม้ยาง ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 529,985 ราย ใน 17 จังหวัด พื้นที่สวนยาง 6,947,931 ไร่ แยกเป็นเกษตรกร 43,225 ราย พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ 1,002,100 ไร่ และเจ้าของสวนยางสงเคราะห์ 486,760 ราย ที่ต้นยางพารามีอายุกว่า 15 ปี พื้นที่ 5,945,831 ไร่ และเกษตรกรที่กล่าวข้างต้นสามารถเข้าสู่แหล่งทุนได้ นอกจากนั้นจะสามารถเพิ่มปริมาณไม้ยางแปรรูปจากปัจจุบันปีละ 6.91 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น15.67 ล้านลูกบาศก์เมตรได้ในปี 2553
วิธีดำเนินงาน แบ่งเกษตรกรปลูกยางเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 "โครงการสวนยางเอื้ออาทร" เป็นเกษตรกรที่ปลูกยางในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เป็นผู้ขอเข้าทำประโยชน์ (ตามนัยมาตรา16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507) และนำมาจัดสรรให้กับเกษตรกรที่ปลูกยางพาราไม่เกินรายละ 30 ไร่ ระยะเวลาร่วมโครงการ 25 ปี ซึ่งเกษตรกรจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด และ อ.ส.ย. จะเป็นผู้นำไม้ยางพาราและน้ำยางออกจากป่าข้างต้น จัดระบบการสงเคราะห์สวนยางทั้งหมดให้เกษตรกร และรับซื้อไม้ยางจากเกษตรกรราคาตลาด ในราคาไม่ต่ำกว่าไร่ละ 30,000 บาท เมื่อสวนยางมีไม้ยางที่ได้คุณภาพ มาตรฐานไม้ และหลักเกณฑ์ที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
กลุ่มที่ 2 เป็นเจ้าของสวนสงเคราะห์ โดยสมัครเข้าร่วมโครงการกับ อ.ส.ย.
การกำหนดมาตรฐาน ให้กรมวิชาการเกษตรร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดมาตรฐานกลางคุณภาพไม้ยางและราคาไม้ยาง
การออกเอกสารสิทธิ ให้ สกย. สำรวจและรังวัดสวนยาง และให้กรมวิชาการเกษตรจดทะเบียนและออกเอกสารสิทธิในนาม "การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)" ให้กับเกษตรกรกลุ่มที่ 1 มีซึ่งจะได้รับเอกสาร 2 ประเภท คือกยท. 1 เป็นเอกสารรับรองสิทธิสวนยาง และ กยท. 2 เป็นเอกสารรับรองมูลค่าไม้ยาง และให้กับเกษตรกรกลุ่มที่ 2จะได้รับ กยท. 2 และเกษตรกรทั้งสองกลุ่มสามารถนำ กยท. 1 และ กยท. 2 ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้
การประเมินมูลค่าไม้ยาง ให้เอกชนผู้มีใบอนุญาตเป็นผู้ประเมินมูลค่าไม้ยาง
การเข้าถึงแหล่งทุน อ.ส.ย. จะจัดระบบและนำไม้ยางทั้งหมดของโครงการเข้าขอทุนจากสถาบันการเงินและทำหน้าที่เป็น clearing house ให้กับสถาบันการเงินที่จัดหนุนให้เกษตรกร
ระยะเวลาดำเนินงาน แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
1. ระยะเร่งด่วน 7 ปี (2547 - 2553) : โครงการสวนยางเอื้ออาทร โดยในปี 2547 ต้องออกเอกสารกยท. 1 และ กยท. 2 ให้แล้วเสร็จ และเริ่มจัดระบบการสงเคราะห์ปีละ 140,000 ไร่ ตั้งแต่ปี 2547 - 2553
2. ระยะเวลาปกติ สำหรับสวนยางสงเคราะห์ตั้งแต่ 2547 เป็นต้นไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-