คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไหม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยให้ ธ.ก.ส.จำนวน 225.99 ล้านบาท ต่อไป
ส่วนงานภาครัฐที่จะจัดทำโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไหมพันธุ์ต่างประเทศขึ้นใหม่ต้องทำการวิเคราะห์แนวโน้มราคาเส้นไหมดิบที่จะนำเข้าจากต่างประเทศเปรียบเทียบกับราคาต้นทุนเส้นไหมดิบที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งนี้ หากมีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการด้วยต้องกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนมีความรับผิดร่วมกันเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น และต้องกำหนดเงื่อนไขของโครงการเกี่ยวกับการป้องกันโรคและแมลง ความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินที่จะใช้ในการปลูกต้นหม่อนด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินเกษตรกรดังกล่าวขึ้นอีก
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานสรุปการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร (อกก.)ครั้งที่ 2/2546 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2546 ว่าได้พิจารณาทบทวนรายละเอียดหลักเกณฑ์และเกณฑ์การจำแนกกลุ่มเกษตรกรที่ประสบปัญหาหนี้สินจากโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไหมแล้ว มีมติให้ ธ.ก.ส. จำแนกเกษตรกรที่จะได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการเดิมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี พ.ศ. 2532 (ก่อนมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2532) และกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แล้วให้ความช่วยเหลือตามมาตรการเดิม
เมื่อจำแนกเกษตรกรแล้ว เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระชดเชยเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 225.99 ล้านบาท ลดลงจากที่เสนอไว้เดิม 13.38 ล้านบาท ดังนี้
1. รับภาระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยตามโครงการที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2532 จำนวน 436 ราย โดยมีต้นเงินกู้จำนวน 62.15 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 11.53 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 73.68 ล้านบาท
2. รับภาระต้นเงินกู้ตามโครงการที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532จำนวน 610 ราย เป็นเงินจำนวน 77.55 ล้านบาท
3. รับภาระต้นเงินกู้ในส่วนที่เกิน จำนวน 40,000 บาท ที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรแต่ละรายของกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532 จำนวน 462 ราย เป็นเงินจำนวน 37.84 ล้านบาท และแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2532 จำนวน 151 ราย ต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 12.37 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 1.31 ล้านบาท พร้อมชดเชยดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงของต้นเงินกู้ค่าลงทุนโรงเรือนเลี้ยงไหมในส่วนที่ยังคงเป็นหนี้ของเกษตรกรดังกล่าวข้างต้นจากการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปไม่เกิน 10 ปี ให้แก่ ธ.ก.ส. ในวงเงินจำนวน 23.24 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 74.76 ล้านบาท
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. รับภาระชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532 จำนวน 1,072 ราย เป็นเงิน 13.38 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 20 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
ส่วนงานภาครัฐที่จะจัดทำโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไหมพันธุ์ต่างประเทศขึ้นใหม่ต้องทำการวิเคราะห์แนวโน้มราคาเส้นไหมดิบที่จะนำเข้าจากต่างประเทศเปรียบเทียบกับราคาต้นทุนเส้นไหมดิบที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งนี้ หากมีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการด้วยต้องกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนมีความรับผิดร่วมกันเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น และต้องกำหนดเงื่อนไขของโครงการเกี่ยวกับการป้องกันโรคและแมลง ความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินที่จะใช้ในการปลูกต้นหม่อนด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินเกษตรกรดังกล่าวขึ้นอีก
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานสรุปการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร (อกก.)ครั้งที่ 2/2546 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2546 ว่าได้พิจารณาทบทวนรายละเอียดหลักเกณฑ์และเกณฑ์การจำแนกกลุ่มเกษตรกรที่ประสบปัญหาหนี้สินจากโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไหมแล้ว มีมติให้ ธ.ก.ส. จำแนกเกษตรกรที่จะได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการเดิมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี พ.ศ. 2532 (ก่อนมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2532) และกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แล้วให้ความช่วยเหลือตามมาตรการเดิม
เมื่อจำแนกเกษตรกรแล้ว เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระชดเชยเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 225.99 ล้านบาท ลดลงจากที่เสนอไว้เดิม 13.38 ล้านบาท ดังนี้
1. รับภาระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยตามโครงการที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2532 จำนวน 436 ราย โดยมีต้นเงินกู้จำนวน 62.15 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 11.53 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 73.68 ล้านบาท
2. รับภาระต้นเงินกู้ตามโครงการที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532จำนวน 610 ราย เป็นเงินจำนวน 77.55 ล้านบาท
3. รับภาระต้นเงินกู้ในส่วนที่เกิน จำนวน 40,000 บาท ที่จะจำหน่ายหนี้สูญแทนเกษตรกรแต่ละรายของกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532 จำนวน 462 ราย เป็นเงินจำนวน 37.84 ล้านบาท และแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2532 จำนวน 151 ราย ต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 12.37 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 1.31 ล้านบาท พร้อมชดเชยดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงของต้นเงินกู้ค่าลงทุนโรงเรือนเลี้ยงไหมในส่วนที่ยังคงเป็นหนี้ของเกษตรกรดังกล่าวข้างต้นจากการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปไม่เกิน 10 ปี ให้แก่ ธ.ก.ส. ในวงเงินจำนวน 23.24 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 74.76 ล้านบาท
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. รับภาระชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการก่อนปี 2532 จำนวน 1,072 ราย เป็นเงิน 13.38 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 20 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-