คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการจดทะเบียนเพื่อแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการ ตามที่ กระทรวงมหาดไทย
เสนอ
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายการแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการ
จดทะเบียนสำรวจความต้องการของประชาชน ใน 7 ปัญหา ได้แก่ ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาคนเร่ร่อน ปัญหาผู้ประกอบอาชีพผิด
กฎหมาย ปัญหาการให้ความช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาให้มีรายได้จากอาชีพที่เหมาะสม ปัญหาการถูกหลอกลวง ปัญหาหนี้สินภาค
ประชาชน และปัญหาที่อยู่อาศัย นั้น
กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนของกระทรวงมหาดไทย (ศตจ.มท.) ได้เสนอ
รายงานสรุปผลการดำเนินงานรับจดทะเบียนในภาพรวม จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2547 เพื่อทราบ ดังนี้
1. การบริหารจัดการ
1.1 องค์กรนำในการปฏิบัติและบูรณาการในการแก้ไขปัญหาความยากจน
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 271/2546 และคำสั่งที่ 272/2546 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2546
กำหนดแนวทางการดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนและจัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.)
โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและองค์กรพัฒนาเอกชน ร่วม
เป็นกรรมการ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้จัดตั้งองค์กรรองรับการดำเนินการ ดังนี้
1) ระดับกระทรวง - จัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนกระทรวงมหาดไทย
(ศตจ.มท.)
2) ระดับกรม - จัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนขึ้นในกรมการปกครอง
กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ กรมที่ดิน เพื่อประสานการดำเนินงานกับ ศตจ. ศตจ.มท. และ
ศตจ.จังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
3) ระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร - จัดตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน
จังหวัด/กรุงเทพ เพื่ออำนวยการและติดตามการลงทะเบียนของ ศตจ.อำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต
4) ระดับอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต - จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน
อำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ในอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการรับลงทะเบียนสำรวจความต้องการของ
ประชาชนในปัญหาต่าง ๆ ที่รัฐบาลมอบหมาย ซึ่งแต่ละศูนย์ได้เตรียมการ เตรียมสถานที่ และวางแผนรองรับการให้บริการจดทะเบียน
เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย และเป็นระเบียบร้อย
1.2 การจัดแบ่งโครงสร้างของ ศตจ.มท.
ศตจ.มท. ได้แบ่งเป็น 1 สำนัก และ 3 ส่วนปฏิบัติการ ดังนี้
- สำนักงาน ศตจ.มท. มีหน้าที่บูรณาการ เร่งรัดกำกับ สรุปรายงาน และรับทราบปัญหาอุปสรรคการ
ปฏิบัติงานของ ศตจ.กทม. ศตจ.จังหวัด/ อำเภอ/กิ่งอำเภอ
- ส่วนบริหารข้อมูลและสำรวจความต้องการ มีหน้าที่ดำเนินการสำรวจและจดทะเบียนความต้องการ
ของประชาชน รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทปัญหา และประสานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่
- ส่วนประสานการปฏิบัติการช่วยเหลือ มีหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหาร ทรัพยากรและการ
ช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การดูแลด้านหนี้สินของประชาชนทั้งในและนอกระบบ การจัดสรร
ทรัพยากรในส่วนของที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพและการมีงานทำ
- ส่วนสนับสนุน มีหน้าที่เสนอแนะเชิงวิชาการ ข้อกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาการร้องเรียน
ประสานงานกับองค์กรประชาชน และภาคประชาชน
1.3 การแบ่งมอบภารกิจในการปฏิบัติงานการจดทะเบียน
กระทรวงมหาดไทย ได้มอบภารกิจให้กรมต่างๆ ดำเนินการโดยใช้หลักเจ้าภาพหลักพื้นที่
และหลักภารกิจ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นฝ่ายอำนวยการ และประสานงาน ดังนี้
- การประชาสัมพันธ์เชิงรุกในชุมชน (Public Relation) กรมการพัฒนาชุมชน
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ
- การจดทะเบียน (Register) กรมการปกครอง และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ
- การบันทึกข้อมูล (Record) กรมการปกครอง และกรุงเทพมหานคร
- การตรวจสอบและยืนยันข้อมูล (Re Check) กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบ
- การรายงาน (Reporting) กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริม
การปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบ
1.4 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และการทำความเข้าใจกับประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้ไปลงทะเบียน
ในเชิงลึกและในวงกว้าง
ศตจ.มท ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจที่มอบหมายไว้ ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน
กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำข้อความโฆษณา (Spot) ในทุกสื่อ พิมพ์โปสเตอร์
และแผ่นพับแจกจ่าย 726,000 แผ่น สติกเกอร์ 5,000 แผ่น ตราประทับไปรษณีย์ ประชาสัมพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุกว่า 40
ครั้ง จัดทำไตรวิชั่นในกรุงเทพมหานคร 50 จุด ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงลึกในชุมชน/หมู่บ้าน 55,656 ครั้ง ใน
12,546 หมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อกระตุ้น เร่งเร้า เผยแพร่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและความยากจน
รวมทั้งได้สร้างความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่าการลงทะเบียนดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด เพื่อป้องกันมิให้บุคคล
ผู้ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวไปหลอกลวงประชาชนได้
1.5 งบประมาณในการดำเนินการ นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณ 2547 งบกลาง รายการสำรองจ่าย
เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงทะเบียนสำรวจความต้องการของประชาชน จำนวน
742,657,760 บาท ให้แก่กระทรวงมหาดไทย จำแนกได้ ดังนี้
การจำแนกรายกรม 1) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย 35,540,350 บาท 2) กรมการ
ปกครอง 529,593,080 บาท 3) กรมการพัฒนาชุมชน 132,942,790 บาท 4) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 21,832,540
บาท 5) กรุงเทพมหานคร 22,749,000 บาท
การจำแนกตามประเภท 1) งบบุคลากร (ค่าจ้างชั่วคราวในการบันทึกข้อมูล) 356,013,000 บาท
2) งบดำเนินการ 357,388,260 บาท 3) งบลงทุน 8,661,500 บาท 4) งบอุดหนุน (สนับสนุนให้แก่เทศบาลและเมืองพัทยา)
20,595,000 บาท
โดยแต่ละหน่วยงานได้จัดสรรให้แก่ ศตจ.จ/อ./กิ่ง อ./เขต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
ลงทะเบียน ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้จ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างและเบี้ยเลี้ยงแก่ผู้ปฏิบัติงานโดยเร็ว
2. การปรับแผนการจดทะเบียน
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 นายกรัฐมนตรีได้มีดำริให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา
ปรับระยะเวลาการรับจดทะเบียนในพื้นที่ 67 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 โดยในพื้นที่
8 จังหวัดนำร่องให้เสร็จในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 เพื่อจะได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนที่
ประสบปัญหาความเดือดร้อนได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยได้ประสานการปฏิบัติกับหลายจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมาก
เกินกว่า 1 ล้านคนแล้ว ได้รับการยืนยันว่าสามารถปรับแผนการรับจดทะเบียนให้แล้วเสร็จได้ จึงขอให้จังหวัดและกรุงเทพมหานคร
ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งจะได้มีการปรับแผนในการดำเนินงานของกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำ
ประชาคมเพื่อตรวจสอบข้อมูลให้สอดคล้องกับการปรับเลื่อนกำหนดเวลาด้วย
3. ผลการลงทะเบียน
ตั้งแต่เริ่มดำเนินการรับลงทะเบียนใน 8 จังหวัดนำร่อง (ชลบุรี นครปฐม พิษณุโลก เชียงใหม่ อุดรธานี
นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2546 และในพื้นที่ 67 จังหวัดที่เหลือ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2547 มีผู้มาจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 3,612,524 คน คิดเป็นร้อยละ 5.75
ของประชากรทั่วประเทศ โดยขอจดทะเบียนในปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 5,234,474 ปัญหาจำแนกได้ ดังนี้
การจดทะเบียน 8 จังหวัดนำร่อง 67 จังหวัด กรุงเทพมหานคร
1. ผู้จดทะเบียน (คน) 984,612 2,498,278 129,634
2. ปัญหา 1,412,139 3,668,264 154,071
3. จังหวัดที่มีผู้จดทะเบียนมากที่สุด นครราชสีมา (12.75 %) อุบลราชธานี (7.73%)
4. จังหวัดที่มีผู้จดทะเบียนน้อยที่สุด นครปฐม (5.89%) สมุทรสงคราม (1.80%)
จำนวนปัญหาที่มาจดทะเบียนเรียงลำดับมี ดังนี้
ทั่วประเทศ 8 จังหวัดนำร่อง 67 จังหวัด กรุงเทพมหานคร
1. หนี้สินภาคประชาชน (44.21%) 1. หนี้สินภาคประชาชน (40.80%) 1. หนี้สินภาคประชาชน (45.98%) 1. ที่อยู่อาศัย (61.85%)
2. ที่ดินทำกิน (37.08%) 2. ที่ดินทำกิน (39.21%) 2. ที่ดินทำกิน (37.69%) 2. หนี้สินภาคประชาชน (33.31%)
3. ที่อยู่อาศัย (17.07%) 3. ที่อยู่อาศัย (17.71%) 3. ที่อยู่อาศัย (14.95%) 3. ที่ดินทำกิน (2.95%)
4. ถูกหลอกลวง (0.86%) 4. น.ร.ต้องการงานทำ(1.15%) 4. ถูกหลอกลวง (0.80%) 4. น.ร.ที่ต้องงานทำ (1.12%)
5. น.ร.ต้องการงานทำ (0.66%) 5. ถูกหลอกลวง (1.04%) 5. น.ร.ต้องการงานทำ (0.45%) 5. ถูกหลอกลวง (0.61%)
6. คนเร่ร่อน (0.07%) 6. คนเร่ร่อน (0.05%) 6. คนเร่ร่อน (0.07%) 6. อาชีพผิดกฎหมาย (0.09%)
7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.05%) 7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.04%) 7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.05%) 7. คนเร่ร่อน (0.08%)
8. ปัญหาอื่น ๆ (8.73%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (7.56%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (8.54%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (24.06%)
สำหรับการจดทะเบียนใน 8 จังหวัดนำร่อง มีผู้มาจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 984,612 คน หรือร้อยละ 9.20 ของ
ประชากรในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่อง
ส่วนการลงทะเบียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 129,634 คนหรือร้อยละ 2.24 ของประชากรใน
กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ลงทะเบียนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดจำนวน 23,332 คน หรือร้อยละ 18 ของผู้ลงทะเบียนใน
กรุงเทพมหานคร ซึ่งในการทำประชาคมรายชื่อของผู้ลงทะเบียนเหล่านี้จะ On-Line ไปปรากฏยังภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านปัจจุบัน
4. แนวทางการจัดทำประชาคม
กรมการพัฒนาชุมชนซึ่งได้รับมอบหมายให้ใช้กระบวนการประชาคมตรวจสอบยืนยันการจดทะเบียนได้วางหลักเกณฑ์
และแนวทางในการจัดทำประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้ตรวจสอบและยืนยันข้อมูลผู้ประสบปัญหาที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ หลังจากได้
หารือหน่วยเกี่ยวข้องแล้วได้มีแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
4.1 กำหนดให้มีการจัดประชุมประชาคมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียนและกรมการ
ปกครองได้จัดพิมพ์รายชื่อผู้ลงทะเบียนส่งให้ ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต
4.2 ให้มีตัวแทนของครัวเรือนผู้ประสบปัญหาเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คน โดยต้องการให้มีผู้เข้า
ร่วมประชาคมให้มากที่สุด รวมทั้งให้มีองค์กรกลาง คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการชุมชน ผู้นำชุมชน ผู้นำองค์กร อาสาสมัคร
เป็นแกนหลักเข้าร่วมในการจัดทำประชาคมด้วย
4.3 กรณีที่ที่ประชุมประชาคมเห็นชอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือครอบครัวใดไปจดทะเบียน ให้ที่ประชุมนั้นแจ้งให้
บุคคล/ครัวเรือนนั้น / ไปจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ภายใน 7 วัน ประชาคมจะไม่เพิ่มชื่อบุคคล/ครัวเรือนนั้น
เองโดยผู้ประสบปัญหาไม่ไปจดทะเบียน
4.4 การปิดประกาศรายชื่อผู้ประสบปัญหาในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน จะปิดประกาศในที่สาธารณะตามแบบรายงาน
สรุปข้อมูลผู้ประสบปัญหาสังคม (แบบ ร.001) ส่วนแบบข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลตามสภาพปัญกา (สย.1-7) ให้เปิดเผยแก่ประชาคม
เท่าที่จำเป็นและเพียงพอแก่การพิจารณาของประชาคม ทั้งนี้ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายและกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล
4.5 กรณีที่ที่ประชุมประชาคมไม่ยืนยัน หรือไม่ให้ความเห็นชอบ หรือมีผู้ลงทะเบียนคนใดร้องขอความเป็นธรรม
ให้ ผอ.ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต พิจารณาเป็นกรณีไป
4.6 จำนวนครั้งในการจัดประชาคมเพื่อตรวจสอบและยืนยัน ให้อยู่ในดุลยพินิจของ ผอ.ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต
ที่เห็นว่าเหมาะสม
4.7 ในกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา กรณีที่ผู้ประสบปัญหาที่มาจดทะเบียนไม่สามารถระบุชื่อชุมชน
ที่ตนอยู่อาศัยได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการจัดทำประชาคมให้ ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต จัดทำบัญชีจำแนกไว้ต่างหาก และกรมการปกครอง
จะได้จัดทำบัญชีรายชื่อหมู่บ้าน/ชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาล/เขต เพื่อแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนให้คำแนะนำแก่ผู้ประสบปัญหา
ที่มาจดทะเบียนระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนต่อไป
4.8 การจัดทำประชาคมในเขตกรุงเทพมหานคร มีผู้ลงทะเบียนร้อยละ 20 ซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีการรวม
ตัวเป็นชุมชนที่จะจัดทำประชาคมได้ กรุงเทพมหานครได้เสนอแนวการจำแนกการจัดทำประชาคมเป็น 2 ลักษณะ คือ
1) ในชุมชน จะปิดประกาศรายชื่อและจัดทำประชาคม ณ ชุมชนเหล่านั้น
2) ในเขตพื้นที่ที่ไม่มีการรวมตัวเป็นชุมชน จะปิดประกาศ ณ สำนักงานเขต หากมีผู้คัดค้าน
ให้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานเขต โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของ ผอ.ศตจ.เขต ในการพิจารณา
ทั้งนี้กรอบแนวทางดังกล่าว ศตจ.มท. จักได้พิจารณาโดยละเอียดในลำดับต่อไปอีกครั้ง
5. ข้อสังเกตและปัญหาในการดำเนินงาน
จากการรับลงทะเบียนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนที่ผ่านมา โดยรวมได้ดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อยตาม
แผนที่วางไว้ โดยการผนึกกำลังร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นอย่างดี พี่น้องประชาชนตื่นตัวให้ความสำคัญกับนโยบายนี้ นับเป็นมิติ
ใหม่ของการแก้ปัญหาที่มีระบบข้อมูลระดับบุคคลเป็นพื้นฐาน (People Approach) แต่อย่างไรก็ตามจากการตรวจติดตามของคณะตรวจ
ติดตามต่าง ๆ ยังคงพบปัญหาอุปสรรคขัดข้องบางประการ ซึ่ง ศตจ.มท.ร่วมกับผู้ปฏิบัติได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ดำเนินการไปได้ด้วย
ดีแล้ว ได้แก่
5.1 ปัญหาประชาชนผู้มาลงทะเบียนที่พบอยู่จำนวนมาก เช่น
1) ประชาชนบางส่วนมิได้นำหลักฐานมาติดต่อกับทางราชการ
2) ประชาชนยังไม่รู้ปัญหาของตนเองว่าจะยื่นขอความช่วยเหลือในปัญหาประเภทใด บางส่วนยัง
ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการลงทะเบียน
3) ประชาชนจำนวนมากจะให้รายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน เช่น ปัญหาหนี้สินภาคประชาชนจะไม่
สามารถแจ้งชื่อที่อยู่ของเจ้าหนี้ได้ และหนี้ในระบบก็ไม่สามารถแจ้งอัตราดอกเบี้ยและ อื่น ๆ ได้ จึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนาน
พอสมควร
4) ประชาชนมีรายได้น้อย หรือมีอาชีพไม่แน่นอน แต่ต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีราคาสูง
5) ประชาชนใช้เวลากรอกแบบมาก บางส่วนเขียนหนังสือไม่ได้ ซึ่งอำเภอได้เตรียมบริการเพื่อช่วย
การกรอกแบบ และดำเนินการประชาสัมพันธ์ในทางลึกให้มากยิ่งขึ้น โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบประจำหมู่บ้านเข้าไปชี้แจงถึงตัวบุคคล
เป้าหมายให้ทราบและเข้าใจถึงการจดทะเบียนเพื่อจะได้มีการเตรียมข้อมูลในการกรอกแบบ สย.ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ถูกต้อง และ
รวดเร็ว
5.2 ในกรุงเทพมหานคร แต่ละเขตต้องใช้บุคลากรในการปฏิบัติงานจำนวนมาก บางวันมีผลต่อการปฏิบัติงาน
ประจำ ซึ่งเป็นงานให้บริการประชาชนเช่นเดียวกัน
5.3 ในระยะแรกของการรายงานผลการจดทะเบียน ภายหลังปิดการจดทะเบียน บางอำเภอไม่สามารถบันทึก
ข้อมูลให้แล้วเสร็จวันต่อวันได้ เนื่องจากขณะนี้การติดตั้งคอมพิวเตอร์ On-Line ทั่วประเทศยังขาดอีก 90 แห่ง จะเสร็จสิ้นในปลาย
เดือนมกราคม 2547 ประกอบกับมีการปรับปรุงโปรแกรมเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น และบางครั้งการ
On-Line มีเหตุขัดข้องทางเทคนิคทำให้ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการแก้ไขแล้ว
6. การตรวจเยี่ยมการดำเนินการจดทะเบียนเพื่อแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการของนายกรัฐมนตรี เมื่อ
วันพุธที่ 21 มกราคม 2547 ระหว่าง 09.15-13.30 น. ณ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และกรมการปกครอง นายกรัฐมนตรี
ได้ให้ข้อคิดเห็นและแนวทางดำเนินงานไว้ ดังนี้
1) นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้ร่วมช่วยกันกับรัฐบาลทำงานหนัก ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ได้แก่ เรื่องยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล การส่งมอบอาวุธสงครามและเรื่องถัดไปที่กำลังดำเนินการอยู่ คือ การแก้ไขปัญหาสังคมและความ
ยากจนฯ ซึ่งต้องอดทนทำงานในเชิงลึกและละเอียดอ่อนให้มากขึ้น กระทรวงมหาดไทยเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบที่สำคัญไม่ใช่เพียง
แค่การปกครอง ความมั่นคง แต่รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจระดับพื้นฐานด้วย ซึ่งถือว่า "Amazing มหาดไทย" ที่สามารถดำเนินการได้
รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์
2) การจ้างงาน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและการว่างงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องเองต้องช่วยกันสร้างงาน
ฝึกอาชีพ เร่งการพัฒนาภาคเศรษฐกิจให้ขยายตัว เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ในระยะแเรกอาจจะเป็นการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว
และในระยะยาวลูกจ้างเหล่านี้อาจได้รับการจ้างให้ทำงานประจำได้ ขอให้จังหวัดต่าง ๆ ได้ช่วยกันสร้างงาน นำข้อมูลการลง
ทะเบียนฯ ในจังหวัดมาช่วยกันแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ
ฝ่ายนายจ้างก็สามารถทำงานได้แล้วเสร็จ และฝ่ายลูกจ้างก็ได้รับการจ้างงาน
3) ผู้ที่บุกรุกที่ดินของรัฐทุกประเภท ทั้งที่ดินราชพัสดุ ที่สาธารณประโยชน์ที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ที่
ส.ป.ก. จะต้องให้ผู้บุกรุกครอบครองที่ดินดังกล่าวทั้งหมดมาลงทะเบียนให้หมด
4) เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ซึ่งผู้มาลงทะเบียนเกรงกลังที่จะให้ข้อมูล บางส่วนไม่ทราบชื่อที่แท้จริง ดังนั้น
ในการแก้ไขปัญหาอาจจะมีแนวทางกำหนดให้บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้นอกระบบเหล่านี้มาลงทะเบียนรายงานตัวและให้ข้อมูลต่อทางราชการ
เพื่อประโยชน์ในการถ่ายโอนหนี้เข้าสู่หนี้ในระบบต่อไป และมีมาตรการสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม หากตรวจพบในภายหลังอาจใช้
มาตรการทางภาษี และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการต่อไป
5) ปัญหาอื่น ๆ ที่รับลงทะเบียน ให้จำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ไว้ แล้วดำเนินการลงรหัสเพิ่มเติม โดยจัดกลุ่ม
ตามเจ้าภาพ (หน่วยงาน) ที่จะรับไปแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาใดที่สามารถดำเนินไปได้ในระดับจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด
แบบบูรณาการดำเนินการได้ทันที หากปัญหาใดไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ส่งต่อเข้ามายังส่วนกลาง เพื่อแก้ไขในเชิงโครงสร้างและระบบ
ต่อไป
6) เวทีประชาคมที่จัดเพื่อคัดกรองว่าข้อมูลที่ได้นั้นถูกต้อง เป็นความจริง เป็นข้อมูลที่สมเหตุสมผล ดังนั้น
ขั้นตอนการจัดทำเวทีประชาคมนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพื่อคัดกรองข้อมูลที่เป็นความจริงและสร้างให้เกิดความสามัคคีในชุมชน
/หมู่บ้าน
7) ให้มีการจัดกลุ่มผู้ลงทะเบียนในปัญหาขาดที่ดินทำกินจากรายบุคคลให้เป็น ข้อมูลรายครอบครัว เพื่อจะได้
ทราบขนาดของปัญหาและความต้องการที่แท้จริง เพื่อรัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
8) สำหรับผู้มาลงทะเบียนที่ย้ายไปอยู่ต่างภูมิลำเนาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการย้ายสำเนาทะเบียนบ้านไป
ด้วย จะทำให้มีปัญหาในการจัดประชาคมตามภูมิลำเนาเดิมเพราะอาจไม่มีผู้ใดสามารถให้การรับรองความถูกต้องของข้อมูล ก็ให้ใช้
วิธีการขอตรวจสอบหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติม
9) กรณีพ้นช่วงระยะเวลาการรณรงค์ให้ลงทะเบียนแก้ปัญหาสังคมและความยากจน ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์
2547 ซึ่งช่วงดังกล่าวได้ระดมใช้ลูกจ้างรายวันมาช่วยทำงาน เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว ยังคงให้รับลงทะเบียนต่อไป ซึ่งจะให้
เจ้าหน้าที่ประจำดำเนินการในระบบและการจดทะเบียนให้ตรวจสอบดูแลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน และละเอียดมากขึ้น เนื่องจากอาจ
ไม่มีการจัดประชาคมอีก
10) ระบบงบประมาณของจังหวัด เพื่อความคล่องตัวให้ใช้เงินงบกลางของจังหวัดแบบบูรณาการที่จัดสรรให้ใน
แบบเงินสำรองจ่าย สามารถนำมาหมุนเวียนใช้ดำเนินการได้ก่อน หากติดขัดระเบียบกฎเกณฑ์ ขอให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อจะ
ได้แก้ไขปรับปรุงต่อไป
11) ฝากให้กระทรวงมหาดไทยได้คิดและวางแผนการบริหารงานบุคคลของกระทรวงไว้ล่วงหน้า ในการปรับ
โครงสร้างและระบบค่าตอบแทนในช่วงเดือนเมษายน 2547 ที่จะต้องสร้างทั้งบุคลากรและวางระบบไว้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
ในการบริหารและแก้ไขปัญหาของแต่ละจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดควรต้องมีความต่อเนื่องในช่วงเวลาในการดำรงตำแหน่ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 มกราคม 2547--จบ--
เสนอ
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายการแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการ
จดทะเบียนสำรวจความต้องการของประชาชน ใน 7 ปัญหา ได้แก่ ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาคนเร่ร่อน ปัญหาผู้ประกอบอาชีพผิด
กฎหมาย ปัญหาการให้ความช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาให้มีรายได้จากอาชีพที่เหมาะสม ปัญหาการถูกหลอกลวง ปัญหาหนี้สินภาค
ประชาชน และปัญหาที่อยู่อาศัย นั้น
กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนของกระทรวงมหาดไทย (ศตจ.มท.) ได้เสนอ
รายงานสรุปผลการดำเนินงานรับจดทะเบียนในภาพรวม จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2547 เพื่อทราบ ดังนี้
1. การบริหารจัดการ
1.1 องค์กรนำในการปฏิบัติและบูรณาการในการแก้ไขปัญหาความยากจน
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 271/2546 และคำสั่งที่ 272/2546 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2546
กำหนดแนวทางการดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนและจัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.)
โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและองค์กรพัฒนาเอกชน ร่วม
เป็นกรรมการ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้จัดตั้งองค์กรรองรับการดำเนินการ ดังนี้
1) ระดับกระทรวง - จัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนกระทรวงมหาดไทย
(ศตจ.มท.)
2) ระดับกรม - จัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนขึ้นในกรมการปกครอง
กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ กรมที่ดิน เพื่อประสานการดำเนินงานกับ ศตจ. ศตจ.มท. และ
ศตจ.จังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
3) ระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร - จัดตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน
จังหวัด/กรุงเทพ เพื่ออำนวยการและติดตามการลงทะเบียนของ ศตจ.อำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต
4) ระดับอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต - จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน
อำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ในอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการรับลงทะเบียนสำรวจความต้องการของ
ประชาชนในปัญหาต่าง ๆ ที่รัฐบาลมอบหมาย ซึ่งแต่ละศูนย์ได้เตรียมการ เตรียมสถานที่ และวางแผนรองรับการให้บริการจดทะเบียน
เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย และเป็นระเบียบร้อย
1.2 การจัดแบ่งโครงสร้างของ ศตจ.มท.
ศตจ.มท. ได้แบ่งเป็น 1 สำนัก และ 3 ส่วนปฏิบัติการ ดังนี้
- สำนักงาน ศตจ.มท. มีหน้าที่บูรณาการ เร่งรัดกำกับ สรุปรายงาน และรับทราบปัญหาอุปสรรคการ
ปฏิบัติงานของ ศตจ.กทม. ศตจ.จังหวัด/ อำเภอ/กิ่งอำเภอ
- ส่วนบริหารข้อมูลและสำรวจความต้องการ มีหน้าที่ดำเนินการสำรวจและจดทะเบียนความต้องการ
ของประชาชน รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทปัญหา และประสานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่
- ส่วนประสานการปฏิบัติการช่วยเหลือ มีหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหาร ทรัพยากรและการ
ช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การดูแลด้านหนี้สินของประชาชนทั้งในและนอกระบบ การจัดสรร
ทรัพยากรในส่วนของที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพและการมีงานทำ
- ส่วนสนับสนุน มีหน้าที่เสนอแนะเชิงวิชาการ ข้อกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาการร้องเรียน
ประสานงานกับองค์กรประชาชน และภาคประชาชน
1.3 การแบ่งมอบภารกิจในการปฏิบัติงานการจดทะเบียน
กระทรวงมหาดไทย ได้มอบภารกิจให้กรมต่างๆ ดำเนินการโดยใช้หลักเจ้าภาพหลักพื้นที่
และหลักภารกิจ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นฝ่ายอำนวยการ และประสานงาน ดังนี้
- การประชาสัมพันธ์เชิงรุกในชุมชน (Public Relation) กรมการพัฒนาชุมชน
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ
- การจดทะเบียน (Register) กรมการปกครอง และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ
- การบันทึกข้อมูล (Record) กรมการปกครอง และกรุงเทพมหานคร
- การตรวจสอบและยืนยันข้อมูล (Re Check) กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบ
- การรายงาน (Reporting) กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริม
การปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบ
1.4 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และการทำความเข้าใจกับประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้ไปลงทะเบียน
ในเชิงลึกและในวงกว้าง
ศตจ.มท ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจที่มอบหมายไว้ ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน
กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำข้อความโฆษณา (Spot) ในทุกสื่อ พิมพ์โปสเตอร์
และแผ่นพับแจกจ่าย 726,000 แผ่น สติกเกอร์ 5,000 แผ่น ตราประทับไปรษณีย์ ประชาสัมพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุกว่า 40
ครั้ง จัดทำไตรวิชั่นในกรุงเทพมหานคร 50 จุด ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงลึกในชุมชน/หมู่บ้าน 55,656 ครั้ง ใน
12,546 หมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อกระตุ้น เร่งเร้า เผยแพร่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและความยากจน
รวมทั้งได้สร้างความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่าการลงทะเบียนดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด เพื่อป้องกันมิให้บุคคล
ผู้ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวไปหลอกลวงประชาชนได้
1.5 งบประมาณในการดำเนินการ นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณ 2547 งบกลาง รายการสำรองจ่าย
เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงทะเบียนสำรวจความต้องการของประชาชน จำนวน
742,657,760 บาท ให้แก่กระทรวงมหาดไทย จำแนกได้ ดังนี้
การจำแนกรายกรม 1) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย 35,540,350 บาท 2) กรมการ
ปกครอง 529,593,080 บาท 3) กรมการพัฒนาชุมชน 132,942,790 บาท 4) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 21,832,540
บาท 5) กรุงเทพมหานคร 22,749,000 บาท
การจำแนกตามประเภท 1) งบบุคลากร (ค่าจ้างชั่วคราวในการบันทึกข้อมูล) 356,013,000 บาท
2) งบดำเนินการ 357,388,260 บาท 3) งบลงทุน 8,661,500 บาท 4) งบอุดหนุน (สนับสนุนให้แก่เทศบาลและเมืองพัทยา)
20,595,000 บาท
โดยแต่ละหน่วยงานได้จัดสรรให้แก่ ศตจ.จ/อ./กิ่ง อ./เขต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
ลงทะเบียน ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้จ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างและเบี้ยเลี้ยงแก่ผู้ปฏิบัติงานโดยเร็ว
2. การปรับแผนการจดทะเบียน
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 นายกรัฐมนตรีได้มีดำริให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา
ปรับระยะเวลาการรับจดทะเบียนในพื้นที่ 67 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 โดยในพื้นที่
8 จังหวัดนำร่องให้เสร็จในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 เพื่อจะได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนที่
ประสบปัญหาความเดือดร้อนได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยได้ประสานการปฏิบัติกับหลายจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมาก
เกินกว่า 1 ล้านคนแล้ว ได้รับการยืนยันว่าสามารถปรับแผนการรับจดทะเบียนให้แล้วเสร็จได้ จึงขอให้จังหวัดและกรุงเทพมหานคร
ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งจะได้มีการปรับแผนในการดำเนินงานของกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำ
ประชาคมเพื่อตรวจสอบข้อมูลให้สอดคล้องกับการปรับเลื่อนกำหนดเวลาด้วย
3. ผลการลงทะเบียน
ตั้งแต่เริ่มดำเนินการรับลงทะเบียนใน 8 จังหวัดนำร่อง (ชลบุรี นครปฐม พิษณุโลก เชียงใหม่ อุดรธานี
นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2546 และในพื้นที่ 67 จังหวัดที่เหลือ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2547 มีผู้มาจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 3,612,524 คน คิดเป็นร้อยละ 5.75
ของประชากรทั่วประเทศ โดยขอจดทะเบียนในปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 5,234,474 ปัญหาจำแนกได้ ดังนี้
การจดทะเบียน 8 จังหวัดนำร่อง 67 จังหวัด กรุงเทพมหานคร
1. ผู้จดทะเบียน (คน) 984,612 2,498,278 129,634
2. ปัญหา 1,412,139 3,668,264 154,071
3. จังหวัดที่มีผู้จดทะเบียนมากที่สุด นครราชสีมา (12.75 %) อุบลราชธานี (7.73%)
4. จังหวัดที่มีผู้จดทะเบียนน้อยที่สุด นครปฐม (5.89%) สมุทรสงคราม (1.80%)
จำนวนปัญหาที่มาจดทะเบียนเรียงลำดับมี ดังนี้
ทั่วประเทศ 8 จังหวัดนำร่อง 67 จังหวัด กรุงเทพมหานคร
1. หนี้สินภาคประชาชน (44.21%) 1. หนี้สินภาคประชาชน (40.80%) 1. หนี้สินภาคประชาชน (45.98%) 1. ที่อยู่อาศัย (61.85%)
2. ที่ดินทำกิน (37.08%) 2. ที่ดินทำกิน (39.21%) 2. ที่ดินทำกิน (37.69%) 2. หนี้สินภาคประชาชน (33.31%)
3. ที่อยู่อาศัย (17.07%) 3. ที่อยู่อาศัย (17.71%) 3. ที่อยู่อาศัย (14.95%) 3. ที่ดินทำกิน (2.95%)
4. ถูกหลอกลวง (0.86%) 4. น.ร.ต้องการงานทำ(1.15%) 4. ถูกหลอกลวง (0.80%) 4. น.ร.ที่ต้องงานทำ (1.12%)
5. น.ร.ต้องการงานทำ (0.66%) 5. ถูกหลอกลวง (1.04%) 5. น.ร.ต้องการงานทำ (0.45%) 5. ถูกหลอกลวง (0.61%)
6. คนเร่ร่อน (0.07%) 6. คนเร่ร่อน (0.05%) 6. คนเร่ร่อน (0.07%) 6. อาชีพผิดกฎหมาย (0.09%)
7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.05%) 7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.04%) 7. อาชีพผิดกฎหมาย (0.05%) 7. คนเร่ร่อน (0.08%)
8. ปัญหาอื่น ๆ (8.73%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (7.56%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (8.54%) 8. ปัญหาอื่น ๆ (24.06%)
สำหรับการจดทะเบียนใน 8 จังหวัดนำร่อง มีผู้มาจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 984,612 คน หรือร้อยละ 9.20 ของ
ประชากรในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่อง
ส่วนการลงทะเบียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 129,634 คนหรือร้อยละ 2.24 ของประชากรใน
กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ลงทะเบียนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดจำนวน 23,332 คน หรือร้อยละ 18 ของผู้ลงทะเบียนใน
กรุงเทพมหานคร ซึ่งในการทำประชาคมรายชื่อของผู้ลงทะเบียนเหล่านี้จะ On-Line ไปปรากฏยังภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านปัจจุบัน
4. แนวทางการจัดทำประชาคม
กรมการพัฒนาชุมชนซึ่งได้รับมอบหมายให้ใช้กระบวนการประชาคมตรวจสอบยืนยันการจดทะเบียนได้วางหลักเกณฑ์
และแนวทางในการจัดทำประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้ตรวจสอบและยืนยันข้อมูลผู้ประสบปัญหาที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ หลังจากได้
หารือหน่วยเกี่ยวข้องแล้วได้มีแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
4.1 กำหนดให้มีการจัดประชุมประชาคมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียนและกรมการ
ปกครองได้จัดพิมพ์รายชื่อผู้ลงทะเบียนส่งให้ ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต
4.2 ให้มีตัวแทนของครัวเรือนผู้ประสบปัญหาเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คน โดยต้องการให้มีผู้เข้า
ร่วมประชาคมให้มากที่สุด รวมทั้งให้มีองค์กรกลาง คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการชุมชน ผู้นำชุมชน ผู้นำองค์กร อาสาสมัคร
เป็นแกนหลักเข้าร่วมในการจัดทำประชาคมด้วย
4.3 กรณีที่ที่ประชุมประชาคมเห็นชอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือครอบครัวใดไปจดทะเบียน ให้ที่ประชุมนั้นแจ้งให้
บุคคล/ครัวเรือนนั้น / ไปจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ/กิ่งอำเภอ/เขต ภายใน 7 วัน ประชาคมจะไม่เพิ่มชื่อบุคคล/ครัวเรือนนั้น
เองโดยผู้ประสบปัญหาไม่ไปจดทะเบียน
4.4 การปิดประกาศรายชื่อผู้ประสบปัญหาในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน จะปิดประกาศในที่สาธารณะตามแบบรายงาน
สรุปข้อมูลผู้ประสบปัญหาสังคม (แบบ ร.001) ส่วนแบบข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลตามสภาพปัญกา (สย.1-7) ให้เปิดเผยแก่ประชาคม
เท่าที่จำเป็นและเพียงพอแก่การพิจารณาของประชาคม ทั้งนี้ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายและกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล
4.5 กรณีที่ที่ประชุมประชาคมไม่ยืนยัน หรือไม่ให้ความเห็นชอบ หรือมีผู้ลงทะเบียนคนใดร้องขอความเป็นธรรม
ให้ ผอ.ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต พิจารณาเป็นกรณีไป
4.6 จำนวนครั้งในการจัดประชาคมเพื่อตรวจสอบและยืนยัน ให้อยู่ในดุลยพินิจของ ผอ.ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต
ที่เห็นว่าเหมาะสม
4.7 ในกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา กรณีที่ผู้ประสบปัญหาที่มาจดทะเบียนไม่สามารถระบุชื่อชุมชน
ที่ตนอยู่อาศัยได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการจัดทำประชาคมให้ ศตจ.อ./กิ่ง อ./เขต จัดทำบัญชีจำแนกไว้ต่างหาก และกรมการปกครอง
จะได้จัดทำบัญชีรายชื่อหมู่บ้าน/ชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาล/เขต เพื่อแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนให้คำแนะนำแก่ผู้ประสบปัญหา
ที่มาจดทะเบียนระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนต่อไป
4.8 การจัดทำประชาคมในเขตกรุงเทพมหานคร มีผู้ลงทะเบียนร้อยละ 20 ซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีการรวม
ตัวเป็นชุมชนที่จะจัดทำประชาคมได้ กรุงเทพมหานครได้เสนอแนวการจำแนกการจัดทำประชาคมเป็น 2 ลักษณะ คือ
1) ในชุมชน จะปิดประกาศรายชื่อและจัดทำประชาคม ณ ชุมชนเหล่านั้น
2) ในเขตพื้นที่ที่ไม่มีการรวมตัวเป็นชุมชน จะปิดประกาศ ณ สำนักงานเขต หากมีผู้คัดค้าน
ให้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานเขต โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของ ผอ.ศตจ.เขต ในการพิจารณา
ทั้งนี้กรอบแนวทางดังกล่าว ศตจ.มท. จักได้พิจารณาโดยละเอียดในลำดับต่อไปอีกครั้ง
5. ข้อสังเกตและปัญหาในการดำเนินงาน
จากการรับลงทะเบียนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนที่ผ่านมา โดยรวมได้ดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อยตาม
แผนที่วางไว้ โดยการผนึกกำลังร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นอย่างดี พี่น้องประชาชนตื่นตัวให้ความสำคัญกับนโยบายนี้ นับเป็นมิติ
ใหม่ของการแก้ปัญหาที่มีระบบข้อมูลระดับบุคคลเป็นพื้นฐาน (People Approach) แต่อย่างไรก็ตามจากการตรวจติดตามของคณะตรวจ
ติดตามต่าง ๆ ยังคงพบปัญหาอุปสรรคขัดข้องบางประการ ซึ่ง ศตจ.มท.ร่วมกับผู้ปฏิบัติได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ดำเนินการไปได้ด้วย
ดีแล้ว ได้แก่
5.1 ปัญหาประชาชนผู้มาลงทะเบียนที่พบอยู่จำนวนมาก เช่น
1) ประชาชนบางส่วนมิได้นำหลักฐานมาติดต่อกับทางราชการ
2) ประชาชนยังไม่รู้ปัญหาของตนเองว่าจะยื่นขอความช่วยเหลือในปัญหาประเภทใด บางส่วนยัง
ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการลงทะเบียน
3) ประชาชนจำนวนมากจะให้รายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน เช่น ปัญหาหนี้สินภาคประชาชนจะไม่
สามารถแจ้งชื่อที่อยู่ของเจ้าหนี้ได้ และหนี้ในระบบก็ไม่สามารถแจ้งอัตราดอกเบี้ยและ อื่น ๆ ได้ จึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนาน
พอสมควร
4) ประชาชนมีรายได้น้อย หรือมีอาชีพไม่แน่นอน แต่ต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีราคาสูง
5) ประชาชนใช้เวลากรอกแบบมาก บางส่วนเขียนหนังสือไม่ได้ ซึ่งอำเภอได้เตรียมบริการเพื่อช่วย
การกรอกแบบ และดำเนินการประชาสัมพันธ์ในทางลึกให้มากยิ่งขึ้น โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบประจำหมู่บ้านเข้าไปชี้แจงถึงตัวบุคคล
เป้าหมายให้ทราบและเข้าใจถึงการจดทะเบียนเพื่อจะได้มีการเตรียมข้อมูลในการกรอกแบบ สย.ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ถูกต้อง และ
รวดเร็ว
5.2 ในกรุงเทพมหานคร แต่ละเขตต้องใช้บุคลากรในการปฏิบัติงานจำนวนมาก บางวันมีผลต่อการปฏิบัติงาน
ประจำ ซึ่งเป็นงานให้บริการประชาชนเช่นเดียวกัน
5.3 ในระยะแรกของการรายงานผลการจดทะเบียน ภายหลังปิดการจดทะเบียน บางอำเภอไม่สามารถบันทึก
ข้อมูลให้แล้วเสร็จวันต่อวันได้ เนื่องจากขณะนี้การติดตั้งคอมพิวเตอร์ On-Line ทั่วประเทศยังขาดอีก 90 แห่ง จะเสร็จสิ้นในปลาย
เดือนมกราคม 2547 ประกอบกับมีการปรับปรุงโปรแกรมเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น และบางครั้งการ
On-Line มีเหตุขัดข้องทางเทคนิคทำให้ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการแก้ไขแล้ว
6. การตรวจเยี่ยมการดำเนินการจดทะเบียนเพื่อแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการของนายกรัฐมนตรี เมื่อ
วันพุธที่ 21 มกราคม 2547 ระหว่าง 09.15-13.30 น. ณ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และกรมการปกครอง นายกรัฐมนตรี
ได้ให้ข้อคิดเห็นและแนวทางดำเนินงานไว้ ดังนี้
1) นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้ร่วมช่วยกันกับรัฐบาลทำงานหนัก ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ได้แก่ เรื่องยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล การส่งมอบอาวุธสงครามและเรื่องถัดไปที่กำลังดำเนินการอยู่ คือ การแก้ไขปัญหาสังคมและความ
ยากจนฯ ซึ่งต้องอดทนทำงานในเชิงลึกและละเอียดอ่อนให้มากขึ้น กระทรวงมหาดไทยเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบที่สำคัญไม่ใช่เพียง
แค่การปกครอง ความมั่นคง แต่รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจระดับพื้นฐานด้วย ซึ่งถือว่า "Amazing มหาดไทย" ที่สามารถดำเนินการได้
รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์
2) การจ้างงาน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและการว่างงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องเองต้องช่วยกันสร้างงาน
ฝึกอาชีพ เร่งการพัฒนาภาคเศรษฐกิจให้ขยายตัว เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ในระยะแเรกอาจจะเป็นการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว
และในระยะยาวลูกจ้างเหล่านี้อาจได้รับการจ้างให้ทำงานประจำได้ ขอให้จังหวัดต่าง ๆ ได้ช่วยกันสร้างงาน นำข้อมูลการลง
ทะเบียนฯ ในจังหวัดมาช่วยกันแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ
ฝ่ายนายจ้างก็สามารถทำงานได้แล้วเสร็จ และฝ่ายลูกจ้างก็ได้รับการจ้างงาน
3) ผู้ที่บุกรุกที่ดินของรัฐทุกประเภท ทั้งที่ดินราชพัสดุ ที่สาธารณประโยชน์ที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ที่
ส.ป.ก. จะต้องให้ผู้บุกรุกครอบครองที่ดินดังกล่าวทั้งหมดมาลงทะเบียนให้หมด
4) เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ซึ่งผู้มาลงทะเบียนเกรงกลังที่จะให้ข้อมูล บางส่วนไม่ทราบชื่อที่แท้จริง ดังนั้น
ในการแก้ไขปัญหาอาจจะมีแนวทางกำหนดให้บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้นอกระบบเหล่านี้มาลงทะเบียนรายงานตัวและให้ข้อมูลต่อทางราชการ
เพื่อประโยชน์ในการถ่ายโอนหนี้เข้าสู่หนี้ในระบบต่อไป และมีมาตรการสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม หากตรวจพบในภายหลังอาจใช้
มาตรการทางภาษี และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการต่อไป
5) ปัญหาอื่น ๆ ที่รับลงทะเบียน ให้จำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ไว้ แล้วดำเนินการลงรหัสเพิ่มเติม โดยจัดกลุ่ม
ตามเจ้าภาพ (หน่วยงาน) ที่จะรับไปแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาใดที่สามารถดำเนินไปได้ในระดับจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด
แบบบูรณาการดำเนินการได้ทันที หากปัญหาใดไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ส่งต่อเข้ามายังส่วนกลาง เพื่อแก้ไขในเชิงโครงสร้างและระบบ
ต่อไป
6) เวทีประชาคมที่จัดเพื่อคัดกรองว่าข้อมูลที่ได้นั้นถูกต้อง เป็นความจริง เป็นข้อมูลที่สมเหตุสมผล ดังนั้น
ขั้นตอนการจัดทำเวทีประชาคมนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพื่อคัดกรองข้อมูลที่เป็นความจริงและสร้างให้เกิดความสามัคคีในชุมชน
/หมู่บ้าน
7) ให้มีการจัดกลุ่มผู้ลงทะเบียนในปัญหาขาดที่ดินทำกินจากรายบุคคลให้เป็น ข้อมูลรายครอบครัว เพื่อจะได้
ทราบขนาดของปัญหาและความต้องการที่แท้จริง เพื่อรัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
8) สำหรับผู้มาลงทะเบียนที่ย้ายไปอยู่ต่างภูมิลำเนาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการย้ายสำเนาทะเบียนบ้านไป
ด้วย จะทำให้มีปัญหาในการจัดประชาคมตามภูมิลำเนาเดิมเพราะอาจไม่มีผู้ใดสามารถให้การรับรองความถูกต้องของข้อมูล ก็ให้ใช้
วิธีการขอตรวจสอบหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติม
9) กรณีพ้นช่วงระยะเวลาการรณรงค์ให้ลงทะเบียนแก้ปัญหาสังคมและความยากจน ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์
2547 ซึ่งช่วงดังกล่าวได้ระดมใช้ลูกจ้างรายวันมาช่วยทำงาน เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว ยังคงให้รับลงทะเบียนต่อไป ซึ่งจะให้
เจ้าหน้าที่ประจำดำเนินการในระบบและการจดทะเบียนให้ตรวจสอบดูแลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน และละเอียดมากขึ้น เนื่องจากอาจ
ไม่มีการจัดประชาคมอีก
10) ระบบงบประมาณของจังหวัด เพื่อความคล่องตัวให้ใช้เงินงบกลางของจังหวัดแบบบูรณาการที่จัดสรรให้ใน
แบบเงินสำรองจ่าย สามารถนำมาหมุนเวียนใช้ดำเนินการได้ก่อน หากติดขัดระเบียบกฎเกณฑ์ ขอให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อจะ
ได้แก้ไขปรับปรุงต่อไป
11) ฝากให้กระทรวงมหาดไทยได้คิดและวางแผนการบริหารงานบุคคลของกระทรวงไว้ล่วงหน้า ในการปรับ
โครงสร้างและระบบค่าตอบแทนในช่วงเดือนเมษายน 2547 ที่จะต้องสร้างทั้งบุคลากรและวางระบบไว้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
ในการบริหารและแก้ไขปัญหาของแต่ละจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดควรต้องมีความต่อเนื่องในช่วงเวลาในการดำรงตำแหน่ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 มกราคม 2547--จบ--
-กภ-
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 มกราคม 2547--จบ--