กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 23, 2011 15:36 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและอนุสัญญาหรือความตกลงฯ

ที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน 10 ฉบับ

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

1. เห็นชอบกรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานเพื่อให้ความเห็นชอบสำหรับการนำไปเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงกับกลุ่มประเทศคู่เจรจาของไทย ได้แก่ ประเทศที่จะขอเปิดเจรจาใหม่และที่จะขอเปิดเจรจาแก้ไข (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) ประเทศที่เจรจาแล้ว แต่ยังมีประเด็นติดค้าง (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) ประเทศที่จะทำการเจรจาในอนาคตพร้อมทั้งพิจารณากรณีการอนุมัติประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ของไทยภายใต้กรอบการเจรจาดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

2. เห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน 10 ฉบับ และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้

2.1 ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งซิมบับเวและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน

2.2 ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐเอกราชปาปัวนิวกีนี เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.3 อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรโมร็อกโกเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.4 ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.5 อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐทาจิกิสถาน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.6 อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.7 อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งไอร์แลนด์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน

2.8 อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลิทัวเนียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.9 อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

2.10 อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนีย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

3. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รับไปดำเนินการทางการทูต เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาตามข้อ 2 แล้ว

ข้อเท็จจริง

กระทรวงการคลัง เสนอว่า เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (26 เม.ย.54) กระทรวงการคลังจึงได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ได้มีอนุสัญญาที่ประเทศไทยได้เจรจาเสร็จสิ้นเพิ่มเติม 2 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์และ เอสโตเนีย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ให้ความเห็นว่าไม่ขัดข้องต่ออนุสัญญาดังกล่าว และกรมสรรพากรได้ดำเนินการเผยแพร่อนุสัญญาดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบแล้ว

สาระสำคัญของเรื่อง

1. กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนประกอบด้วย ขอบข่ายของอนุสัญญาหรือความตกลง อำนาจการบริหารจัดเก็บภาษีเงินได้ความร่วมมือทางด้านภาษีระหว่างประเทศ วิธีการขจัดภาษีซ้อน และวิธีการในการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลง

2. ความตกลงและอนุสัญญาตามข้อ 2.1 — ข้อ 2.4 กำหนดวิธีการขจัดภาษีซ้อน โดยประเทศคู่สัญญาจะยอมให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ของตนนำภาษีที่เสียไว้แล้วในอีกประเทศหนึ่งมาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในประเทศตนเท่าจำนวนภาษีที่ได้ชำระไว้จริง แต่ต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่คำนวณไว้ในประเทศตน นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้มีมาตรการ Tax Sparing Credit ในทั้งสองประเทศด้วย กล่าวคือกรณีได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีตามกฎหมายในของประเทศหนึ่ง (ประเทศแหล่ง เงินได้) อีกประเทศหนึ่ง (ประเทศถิ่นที่อยู่ของผู้รับเงินได้) จะยอมให้นำจำนวนภาษีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนดังกล่าวไปถือเป็นเครดิตภาษีได้ด้วย

3. อนุสัญญาตามข้อ 2.5 — ข้อ 2.10 กำหนดวิธีขจัดภาษีซ้อนโดยใช้วิธีเครดิตภาษี โดยประเทศคู่สัญญาจะยอมให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ของตนนำภาษีที่เสียไว้แล้วในอีกประเทศหนึ่ง (ประเทศแหล่งเงินได้) มาหักภาษีที่ต้องชำระในประเทศตนเท่าที่ได้ชำระไว้จริงในประเทศแหล่งเงินได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่คำนวณได้ในประเทศตน

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ