คณะรัฐมนตรีพิจารณาการจัดทำและนำออกใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดทำและนำออกใช้ซึ่งเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท เพิ่มเติมในระบบเศรษฐกิจ โดยมีค่าใช้จ่ายของโครงการในปีแรกเป็นเงินประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนการผลิตเหรียญกษาปณ์และการทำของ กรมธนารักษ์ ทั้งกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์จะประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตรูปแบบและคำบรรยายลวดลายของเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท ก่อนดำเนินการขอออกกฎกระทรวงต่อไป
กระทรวงการคลังรายงานว่า กรมธนารักษ์ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังและศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศึกษาโครงสร้างเหรียญกษาปณ์ชุดใหม่ที่เหมาะสม โดยได้คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและนำออกใช้เหรียญกษาปณ์ เช่น ความต้องการเหรียญกษาปณ์ทุกชนิดราคาในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนที่ใช้ผลิต เทคโนโลยีการผลิตการเป็นที่ยอมรับ ฯลฯ ซึ่งผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. ในระยะสั้นเห็นควรผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท เพิ่มเติมเข้ามาในระบบ
2. เนื่องจากเหรียญชนิดราคา 1 บาท กับ ชนิดราคา 5 บาท ไม่มีเหรียญชนิดราคา 2 บาท มาคั่นกลาง จึงทำให้มีการใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท มากที่สุดถึงร้อยละ 56.10 ของเหรียญกษาปณ์ในระบบทั้งหมด ดังนั้น จึงควรมีการเพิ่มเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาทมาใช้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหลักทฤษฎีอนุกรมเหรียญ (Binary System) ที่กำหนดว่า ชนิดของเงินตราควรจะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 2 เท่าของชนิดราคาที่ต่ำกว่าในแต่ละระดับ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท มีจำนวนมากเกินไปในระบบทำให้เกิดความสมดุลในการหมุนเวียนการใช้เหรียญกษาปณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้เหรียญ และลดภาวะการขาดทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านจากราคาต้นทุนโลหะและต้นทุนการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. การออกใช้เหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 2 บาท ไม่มีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากการนำออกใช้เหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 2 บาท เป็นการเติมเต็มอนุกรมเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังคงมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท และชนิดรองลงมาทุกชนิดราคา
4. เทคโนโลยีการผลิตเหรียญชุบเคลือบไส้เหล็ก (Nickel Plated Steel) ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ยากต่อการปลอมแปลง มีความคงทน และพื้นผิวของเหรียญมีความสวยงาม และปัจจุบันมีหลายประเทศได้ใช้เทคโนโลยีชุบเคลือบในการผลิตเหรียญกษาปณ์ ประกอบกับโลหะที่ใช้ในการผลิตมีต้นทุนต่ำ ทำให้ไม่เป็นภาระด้านต้นทุนต่อการผลิตเหรียญกษาปณ์ในระยะยาว
5. คุณลักษณะของเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท เป็นชนิดชุบเคลือบนิกเกิลไส้เหล็ก (Nickel Plated Steel) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 21.75 มิลลิเมตร น้ำหนัก 4.4 กรัม วงขอบนอกเป็นเฟืองจักรสลับเรียบ ซึ่งมีขนาดและน้ำหนักที่สะดวกต่อการพกพา สามารถแยกความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคาอื่นได้โดยใช้มือสัมผัสนำมาใช้กับเครื่องหยอดเหรียญได้ และมีขนาดไม่ซ้ำกับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของประเทศเพื่อนบ้าน
6. รูปแบบ ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และด้านหลังเป็นรูปพระบรมบรรพต วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
7. การประชุมชี้แจงแผนการออกใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้ใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรายใหญ่ รวมทั้งหน่วยงานที่ให้บริการเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติหรือเครื่องหยอดเหรียญ (Vending Machine) ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ เห็นด้วยกับการออกใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท และจากการทดสอบปรากฏว่าเหรียญดังกล่าวสามารถใช้กับเครื่องหยอดเหรียญได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 พฤษภาคม 2548--จบ--
กระทรวงการคลังรายงานว่า กรมธนารักษ์ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังและศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศึกษาโครงสร้างเหรียญกษาปณ์ชุดใหม่ที่เหมาะสม โดยได้คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและนำออกใช้เหรียญกษาปณ์ เช่น ความต้องการเหรียญกษาปณ์ทุกชนิดราคาในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนที่ใช้ผลิต เทคโนโลยีการผลิตการเป็นที่ยอมรับ ฯลฯ ซึ่งผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. ในระยะสั้นเห็นควรผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท เพิ่มเติมเข้ามาในระบบ
2. เนื่องจากเหรียญชนิดราคา 1 บาท กับ ชนิดราคา 5 บาท ไม่มีเหรียญชนิดราคา 2 บาท มาคั่นกลาง จึงทำให้มีการใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท มากที่สุดถึงร้อยละ 56.10 ของเหรียญกษาปณ์ในระบบทั้งหมด ดังนั้น จึงควรมีการเพิ่มเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาทมาใช้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหลักทฤษฎีอนุกรมเหรียญ (Binary System) ที่กำหนดว่า ชนิดของเงินตราควรจะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 2 เท่าของชนิดราคาที่ต่ำกว่าในแต่ละระดับ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท มีจำนวนมากเกินไปในระบบทำให้เกิดความสมดุลในการหมุนเวียนการใช้เหรียญกษาปณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้เหรียญ และลดภาวะการขาดทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านจากราคาต้นทุนโลหะและต้นทุนการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. การออกใช้เหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 2 บาท ไม่มีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากการนำออกใช้เหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 2 บาท เป็นการเติมเต็มอนุกรมเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังคงมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท และชนิดรองลงมาทุกชนิดราคา
4. เทคโนโลยีการผลิตเหรียญชุบเคลือบไส้เหล็ก (Nickel Plated Steel) ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ยากต่อการปลอมแปลง มีความคงทน และพื้นผิวของเหรียญมีความสวยงาม และปัจจุบันมีหลายประเทศได้ใช้เทคโนโลยีชุบเคลือบในการผลิตเหรียญกษาปณ์ ประกอบกับโลหะที่ใช้ในการผลิตมีต้นทุนต่ำ ทำให้ไม่เป็นภาระด้านต้นทุนต่อการผลิตเหรียญกษาปณ์ในระยะยาว
5. คุณลักษณะของเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท เป็นชนิดชุบเคลือบนิกเกิลไส้เหล็ก (Nickel Plated Steel) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 21.75 มิลลิเมตร น้ำหนัก 4.4 กรัม วงขอบนอกเป็นเฟืองจักรสลับเรียบ ซึ่งมีขนาดและน้ำหนักที่สะดวกต่อการพกพา สามารถแยกความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคาอื่นได้โดยใช้มือสัมผัสนำมาใช้กับเครื่องหยอดเหรียญได้ และมีขนาดไม่ซ้ำกับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของประเทศเพื่อนบ้าน
6. รูปแบบ ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และด้านหลังเป็นรูปพระบรมบรรพต วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
7. การประชุมชี้แจงแผนการออกใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้ใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรายใหญ่ รวมทั้งหน่วยงานที่ให้บริการเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติหรือเครื่องหยอดเหรียญ (Vending Machine) ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ เห็นด้วยกับการออกใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท และจากการทดสอบปรากฏว่าเหรียญดังกล่าวสามารถใช้กับเครื่องหยอดเหรียญได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 พฤษภาคม 2548--จบ--