คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เห็นชอบมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ไม่รวมถึงข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 3 มาตรการย่อย ได้แก่ มาตรการที่ 1 : มาตรการสนับสนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ มาตรการที่ 2 : มาตรการสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ และ มาตรการที่ 3 : มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และกำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมมาตรการที่ 1 และ 2 เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมมาตรการฯ (จำนวน 48,830 คน) โดยให้ใช้หลัก "สมัครก่อนได้สิทธิก่อน"
ต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการรวบรวมจำนวนและข้อมูลรายละเอียด (Profile) ของข้าราชการที่เกินกว่าเป้าหมายเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ได้รวบรวมรายละเอียดของผู้สมัครที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมมาตรการที่ 1 และ 2 เกินกว่าจำนวนเป้าหมายที่กำหนดเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 มีมติเห็นชอบให้ขยายจำนวนเป้าหมายตามมาตรการเพิ่มขึ้นอีก3,048 คน รวมเป็นจำนวนเป้าหมายทั้งสิ้น 51,878 คน
ผลการดำเนินการ การดำเนินการมาตรการฯ ที่ 1 และ 2 ได้เสร็จสิ้นแล้ว สำนักงาน ก.พ. ในฐานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการมาตรการฯ ได้รายงานผลการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
1. ผู้เข้าร่วมมาตรการ
1.1 จำนวน มีข้าราชการสมัครและส่วนราชการอนุมัติให้เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 51,878 คน ข้อมูลณ วันที่ 16 มีนาคม 2547 ต่อมาได้มีผู้ขอระงับการเข้าร่วมมาตรการ ตลอดจนมีการตรวจสอบพบว่าผู้สมัครบางรายขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมมาตรการ รวมถึงเสียชีวิต จึงเหลือผู้เข้าร่วมมาตรการทั้งสิ้น 48,101 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2547)
ส่วนราชการที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการสูงสุดคือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน21,870 คน (45.47% ของผู้เข้าร่วมมาตรการ) รองลงมาคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 6,806 คน (14.15%)
1.2 ประเภทข้าราชการ ข้าราชการครูเข้าร่วมมาตรการฯ สูงสุด เป็นจำนวน 22,727 คน คิดเป็น47.25% ของผู้เข้าร่วมมาตรการฯ รองลงมาคือ ข้าราชการพลเรือนสามัญ (รวมข้าราชการพลเรือนในพระองค์) 10,597คน (22.03%) ทหาร 7,079 คน (14.72%) ตำรวจ 6,806 คน (14.15%) และข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย892 คน (1.85%)
1.3 อายุ ช่วงอายุที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการมากเป็นอันดับแรกคือ อายุตั้งแต่ 50 ปีลงไปจำนวน 8,866 คน (18.43%) รองลงมาคือ อายุ 58 ปี จำนวน 5,931 คน (12.33%) และอายุ 57 ปี จำนวน 5,193 คน (10.80%)ตามลำดับ
1.4 ระดับ/ชั้นยศ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่เข้าร่วมมาตรการฯ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 6 จำนวน 4,907 คน (คิดเป็น 46.31% ของข้าราชการพลเรือนสามัญที่เข้าร่วมมาตรการ) ข้าราชการครู เกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการะดับ 7จำนวน 20,991 คน (92.36%) ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 5 จำนวน 217 คน(24.33%) ซึ่งข้าราชการในระดับดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในสายงาน ข. และ ค. มิใช่สายผู้สอน
ข้าราชการทหาร ที่เข้าร่วมมาตรการส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นประทวน จำนวน 3,751 คน คิดเป็น 52.99%
ข้าราชการตำรวจ ที่เข้าร่วมมาตรการส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นประทวน จำนวน 6,184 คนคิดเป็น 90.86%
1.5 ระดับสูง มีข้าราชการระดับสูง (ตั้งแต่ระดับ 9 ขั้นไป หรือ พล.ต./พล.ต.ต. ขึ้นไป) เข้าร่วมมาตรการฯ จำนวนเพียง 249 คน คิดเป็นเพียง 0.52% ของผู้เข้าร่วมมาตรการทั้งหมดเท่านั้น ในจำนวนนี้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ 69 คน ข้าราชการครู 34 คน ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย 93 คน ข้าราชการทหาร 52 คน และข้าราชการตำรวจ 1 คน
2. ผลกระทบ
2.1 ด้านการศึกษา
ระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีผู้เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 21,870 คน จากอัตรากำลังทั้งหมดในหน่วยงาน (1 ตุลาคม 2546) 470,864 คน คิดเป็นเพียง 4.64% ของอัตรากำลังเท่านั้น
ประกอบกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้จัดสรรตำแหน่งข้าราชการครูที่ข้าราชการเข้าร่วมมาตรการ คืนให้แก่กระทรวงศึกษาธิการในเป็นอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับตำแหน่งอาจารย์ 1 จำนวน 4,374 อัตรา (20% ของจำนวนที่เข้าร่วมมาตรการ) และจะพิจารณาจัดสรรเพิ่มให้ตามความจำเป็น ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อการให้การศึกษาแก่เยาวชน
ระดับอุดมศึกษา มีข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยสายผู้สอนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 266คน เท่านั้น ประกอบกับ คปร. ได้ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ (170% ของอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการสาย ก. และ 150% ของอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการสาย ข. ค.) เพื่อจ้างบุคลากรทดแทนตำแหน่งข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการทั้งหมดแทนการบรรจุเข้าราชการใหม่จนกว่ามหาวิทยาลัยจะปรับเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐดังนั้น การที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการจึงไม่ก่อให้เกิดความขาดแคลนบุคลากรสายผู้สอนในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
2.2 ด้านสาธารณสุข มีข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมมาตรการ จำนวน 3,501 คนแต่ในจำนวนดังกล่าวเป็นบุคลากรที่มีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลโดยตรงเพียงจำนวนน้อยมาก เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ตำแหน่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพ เป็นสายงานขาดแคลนและห้ามสมัครเข้าร่วมมาตรการ จึงมีบุคลากรที่มีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลโดยตรงเพียงตำแหน่งพยาบาลเทคนิคเท่านั้น ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวได้เข้าร่วมมาตรการเพียง 619 คน ดังนั้น จึงไม่กระทบกับการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน
2.3 ด้านการรักษาความสงบในประเทศ มีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมมาตรการ จำนวน 6,806 คนจากอัตรากำลังทั้งหมด (1 ตุลาคม 2547) 211,596 อัตรา คิดเป็นเพียง 3.22% ของอัตรากำลังเท่านั้น ประกอบกับ คปร. ได้จัดสรรตำแหน่งคืนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 แล้วจำนวน 1,737 อัตรา และอาจมีการจัดสรรเพิ่มเติมให้อีกตามความจำเป็น จึงไม่มีผลกระทบต่อการดูแลรักษาความสงบภายในประเทศ
3. ภาระงบประมาณและจุดคุ้มทุน การดำเนินมาตรการจะทำให้รัฐมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเงินก้อน และบำเหน็จบำนาญ แต่จะสามารถประหยัดงบประมาณเงินเดือนของผู้เข้าร่วมมาตรการได้ในระยะยาว โดยเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2547 (30 กันยายน 2547) รัฐจะมีค่าใช้จ่ายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 7,636 ล้านบาท และจะเริ่มคุ้มทุนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นไป โดยจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2548 ได้ 4,539 ล้านบาท
4. ปัญหาอุปสรรค
4.1 ส่วนราชการขนาดใหญ่มีความกังวลในเรื่องอัตรากำลังที่จะต้องลดลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80ของจำนวนข้าราชการในสังกัดที่เข้าร่วมมาตรการ ซึ่งไม่อนุมัติให้ข้าราชการที่ยื่นความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการในขณะที่มีข้าราชการประสงค์เข้าร่วมมาตรการเป็นจำนวนมาก เช่น กรมราชทัณฑ์ไม่อนุมัติให้ข้าราชการเข้าร่วมมาตรการเลย เนื่องจากมีอัตรากำลังไม่เพียงพอทั้งรองรับภารกิจปัจจุบัน และภารกิจที่จะต้องเพิ่มขึ้นจากการขยายจำนวนเรือนจำ เป็นต้น
4.2 ข้าราชการยังไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมมาตรการ มีข้าราชการส่วนหนึ่งที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ แต่ยังไม่พร้อมเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ เช่น มีภาระหนี้สิน มีภาระทางครอบครัวที่ยังต้องรับผิดชอบ มีสัญญาผูกพันกับส่วนราชการ ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการและเงินบำเหน็จบำนาญ ยังไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหรือภาระหนี้สินนั้น ๆ และมีข้าราชการบางรายรู้สึกว่าสิทธิประโยชน์ของมาตรการนี้ว่าน้อยกว่าโครงการเกษียณก่อนกำหนดเดิมซึ่งมีการให้เงินช่วยรายเดือนผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ชรบ.) ไปตลอดชีวิต จึงไม่เข้าร่วมมาตรการ
4.3 ข้าราชการบางส่วนขอระงับการเข้าร่วมมาตรการเนื่องจากมีการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการในวันที่ 1 เมษายน 2547 เพิ่มขึ้น 3% ทุกอัตรา และเฉพาะระดับ 1 - 7 ได้เลื่อนอีก 2 ขั้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2547 ทำให้มีข้าราชการหลายรายระงับการลาออกและขอรับราชการต่อไป
4.4 การที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ถูกโอนไปจากส่วนราชการต่างๆ ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ โดยเฉพาะสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบททำให้มีข้อร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น (กถ.) ได้นำเรื่องการดำเนินมาตรการในลักษณะเดียวกันสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ
4.5 การประชาสัมพันธ์ในแต่ละส่วนราชการไม่เท่ากัน โดยเฉพาะส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ทำให้ข้าราชการได้รับทราบข้อมูลไม่พร้อมกัน ซึ่งกระทบต่อหลักการพิจารณาอนุมัติให้ลาออกโดยยึดหลัก "ยื่นก่อนได้สิทธิก่อน"ตามมติคณะรัฐมนตรี
4.6 ส่วนราชการในส่วนภูมิภาคยังไม่พร้อมที่จะบันทึกข้อมูลผู้สมัครผ่านทาง Website เนื่องจากระบบอินเทอร์เนตในส่วนภูมิภาคยังไม่สามารถรองรับการใช้งานเป็นจำนวนมากในเวลาพร้อม ๆ กันได้ ทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการบันทึกข้อมูล
5. การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5.1 สำนักงาน ก.พ.
1) ซักซ้อมแนวดำเนินการในส่วนของการกำหนดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งในงานหรือสาขาวิชาชีพขาดแคลนสมัครเข้าร่วมมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008.1/ว12 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546
2) กำหนดรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008.1/ว13 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2546 และจัดชี้แจงส่วนราชการระดับกรมและจังหวัดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2546 ณ หอประชุมสุขุมนัยประดิษฐ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
3) ซักซ้อมแนวดำเนินการตามมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว2 ลงวันที่ 13 มกราคม 2547
4) ประชาสัมพันธ์มาตรการโดยผ่านทาง Website ของสำนักงาน ก.พ. (www.ocsc.go.th) หนังสือเวียนสำนักงาน ก.พ. ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำโปรแกรมการบันทึกข้อมูลผู้เข้าร่วมมาตรการ ผ่านทาง Websiteสำนักงาน ก.พ.
5) จัดประชุมคณะกรรมการมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน พิจารณากำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการตามมาตรการ และพิจารณาจัดสรรโควตาผู้เข้าร่วมมาตรการที่เกินกว่าโควตาของส่วนราชการ
5.2 กระทรวงการคลัง
1) กรมบัญชีกลางดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งลาออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. …. และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2547 และดำเนินการจัดทำประกาศกระทรวงการคลังเรื่องการคงสิทธิตามโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2547 ตลอดจนแจ้งเวียนระเบียบ วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ลาออกตามาตรการ
2) กรมสรรพากรดำเนินการยกเว้นภาษีเงินก้อนที่ได้รับตามมาตรการ
3) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการยกเว้นการชดใช้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ธอส. - กบข.
5.3 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) และสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้รับการสนับสนุนเงินฝากจากสำนักงานประกันสังคมนำมาปล่อยสินเชื่อในโครงการ "เติมให้เต็ม เต็มใจจาก" ให้กับข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ โดยกำหนดวงเงินปล่อยกู้เบื้องต้น5,000 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษร้อยละ 5.5 ต่อปี เปิดให้ผู้สนใจแจ้งความจำนงขอการสนับสนุนสินเชื่อได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547
นอกจากนี้ ยังได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมการเป็นผู้ประกอบการให้แก่ผู้ยื่นขอรับสินเชื่อโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายครอบคลุมความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ การตลาด การเงิน การวางแผนธุรกิจ พร้อมข้อมูลแบบอย่างธุรกิจกว่า 1,000 รายการ ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการใหม่ โดยเตรียมการให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและขนาดการลงทุนที่เป็นไปได้
6. สรุป มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จในการปรับขนาดกำลังคนภาครัฐให้เหมาะสมสอดคล้องกับการพัฒนาระบบราชการได้ในระดับหนึ่ง โดยมีผู้เข้าร่วมมาตรการถึง48,101 คน ทำให้รัฐประหยัดรายจ่ายด้านบุคคลในระยะยาว ข้าราชการที่ลาออกตามมาตรการมีโอกาสที่จะเริ่มอาชีพใหม่โดยมีโอกาสกู้เงินรวมถึงได้รับการอบรมสำหรับการประกอบการจากธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างงานและการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 พฤษภาคม 2547--จบ--
-กภ-
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เห็นชอบมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ไม่รวมถึงข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 3 มาตรการย่อย ได้แก่ มาตรการที่ 1 : มาตรการสนับสนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ มาตรการที่ 2 : มาตรการสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ และ มาตรการที่ 3 : มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และกำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมมาตรการที่ 1 และ 2 เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมมาตรการฯ (จำนวน 48,830 คน) โดยให้ใช้หลัก "สมัครก่อนได้สิทธิก่อน"
ต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการรวบรวมจำนวนและข้อมูลรายละเอียด (Profile) ของข้าราชการที่เกินกว่าเป้าหมายเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ได้รวบรวมรายละเอียดของผู้สมัครที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมมาตรการที่ 1 และ 2 เกินกว่าจำนวนเป้าหมายที่กำหนดเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 มีมติเห็นชอบให้ขยายจำนวนเป้าหมายตามมาตรการเพิ่มขึ้นอีก3,048 คน รวมเป็นจำนวนเป้าหมายทั้งสิ้น 51,878 คน
ผลการดำเนินการ การดำเนินการมาตรการฯ ที่ 1 และ 2 ได้เสร็จสิ้นแล้ว สำนักงาน ก.พ. ในฐานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการมาตรการฯ ได้รายงานผลการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
1. ผู้เข้าร่วมมาตรการ
1.1 จำนวน มีข้าราชการสมัครและส่วนราชการอนุมัติให้เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 51,878 คน ข้อมูลณ วันที่ 16 มีนาคม 2547 ต่อมาได้มีผู้ขอระงับการเข้าร่วมมาตรการ ตลอดจนมีการตรวจสอบพบว่าผู้สมัครบางรายขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมมาตรการ รวมถึงเสียชีวิต จึงเหลือผู้เข้าร่วมมาตรการทั้งสิ้น 48,101 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2547)
ส่วนราชการที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการสูงสุดคือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน21,870 คน (45.47% ของผู้เข้าร่วมมาตรการ) รองลงมาคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 6,806 คน (14.15%)
1.2 ประเภทข้าราชการ ข้าราชการครูเข้าร่วมมาตรการฯ สูงสุด เป็นจำนวน 22,727 คน คิดเป็น47.25% ของผู้เข้าร่วมมาตรการฯ รองลงมาคือ ข้าราชการพลเรือนสามัญ (รวมข้าราชการพลเรือนในพระองค์) 10,597คน (22.03%) ทหาร 7,079 คน (14.72%) ตำรวจ 6,806 คน (14.15%) และข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย892 คน (1.85%)
1.3 อายุ ช่วงอายุที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการมากเป็นอันดับแรกคือ อายุตั้งแต่ 50 ปีลงไปจำนวน 8,866 คน (18.43%) รองลงมาคือ อายุ 58 ปี จำนวน 5,931 คน (12.33%) และอายุ 57 ปี จำนวน 5,193 คน (10.80%)ตามลำดับ
1.4 ระดับ/ชั้นยศ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่เข้าร่วมมาตรการฯ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 6 จำนวน 4,907 คน (คิดเป็น 46.31% ของข้าราชการพลเรือนสามัญที่เข้าร่วมมาตรการ) ข้าราชการครู เกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการะดับ 7จำนวน 20,991 คน (92.36%) ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 5 จำนวน 217 คน(24.33%) ซึ่งข้าราชการในระดับดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในสายงาน ข. และ ค. มิใช่สายผู้สอน
ข้าราชการทหาร ที่เข้าร่วมมาตรการส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นประทวน จำนวน 3,751 คน คิดเป็น 52.99%
ข้าราชการตำรวจ ที่เข้าร่วมมาตรการส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นประทวน จำนวน 6,184 คนคิดเป็น 90.86%
1.5 ระดับสูง มีข้าราชการระดับสูง (ตั้งแต่ระดับ 9 ขั้นไป หรือ พล.ต./พล.ต.ต. ขึ้นไป) เข้าร่วมมาตรการฯ จำนวนเพียง 249 คน คิดเป็นเพียง 0.52% ของผู้เข้าร่วมมาตรการทั้งหมดเท่านั้น ในจำนวนนี้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ 69 คน ข้าราชการครู 34 คน ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย 93 คน ข้าราชการทหาร 52 คน และข้าราชการตำรวจ 1 คน
2. ผลกระทบ
2.1 ด้านการศึกษา
ระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีผู้เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 21,870 คน จากอัตรากำลังทั้งหมดในหน่วยงาน (1 ตุลาคม 2546) 470,864 คน คิดเป็นเพียง 4.64% ของอัตรากำลังเท่านั้น
ประกอบกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้จัดสรรตำแหน่งข้าราชการครูที่ข้าราชการเข้าร่วมมาตรการ คืนให้แก่กระทรวงศึกษาธิการในเป็นอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับตำแหน่งอาจารย์ 1 จำนวน 4,374 อัตรา (20% ของจำนวนที่เข้าร่วมมาตรการ) และจะพิจารณาจัดสรรเพิ่มให้ตามความจำเป็น ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อการให้การศึกษาแก่เยาวชน
ระดับอุดมศึกษา มีข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยสายผู้สอนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 266คน เท่านั้น ประกอบกับ คปร. ได้ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ (170% ของอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการสาย ก. และ 150% ของอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการสาย ข. ค.) เพื่อจ้างบุคลากรทดแทนตำแหน่งข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการทั้งหมดแทนการบรรจุเข้าราชการใหม่จนกว่ามหาวิทยาลัยจะปรับเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐดังนั้น การที่มีผู้เข้าร่วมมาตรการจึงไม่ก่อให้เกิดความขาดแคลนบุคลากรสายผู้สอนในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
2.2 ด้านสาธารณสุข มีข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมมาตรการ จำนวน 3,501 คนแต่ในจำนวนดังกล่าวเป็นบุคลากรที่มีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลโดยตรงเพียงจำนวนน้อยมาก เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ตำแหน่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพ เป็นสายงานขาดแคลนและห้ามสมัครเข้าร่วมมาตรการ จึงมีบุคลากรที่มีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลโดยตรงเพียงตำแหน่งพยาบาลเทคนิคเท่านั้น ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวได้เข้าร่วมมาตรการเพียง 619 คน ดังนั้น จึงไม่กระทบกับการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน
2.3 ด้านการรักษาความสงบในประเทศ มีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมมาตรการ จำนวน 6,806 คนจากอัตรากำลังทั้งหมด (1 ตุลาคม 2547) 211,596 อัตรา คิดเป็นเพียง 3.22% ของอัตรากำลังเท่านั้น ประกอบกับ คปร. ได้จัดสรรตำแหน่งคืนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 แล้วจำนวน 1,737 อัตรา และอาจมีการจัดสรรเพิ่มเติมให้อีกตามความจำเป็น จึงไม่มีผลกระทบต่อการดูแลรักษาความสงบภายในประเทศ
3. ภาระงบประมาณและจุดคุ้มทุน การดำเนินมาตรการจะทำให้รัฐมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเงินก้อน และบำเหน็จบำนาญ แต่จะสามารถประหยัดงบประมาณเงินเดือนของผู้เข้าร่วมมาตรการได้ในระยะยาว โดยเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2547 (30 กันยายน 2547) รัฐจะมีค่าใช้จ่ายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 7,636 ล้านบาท และจะเริ่มคุ้มทุนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นไป โดยจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2548 ได้ 4,539 ล้านบาท
4. ปัญหาอุปสรรค
4.1 ส่วนราชการขนาดใหญ่มีความกังวลในเรื่องอัตรากำลังที่จะต้องลดลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80ของจำนวนข้าราชการในสังกัดที่เข้าร่วมมาตรการ ซึ่งไม่อนุมัติให้ข้าราชการที่ยื่นความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการในขณะที่มีข้าราชการประสงค์เข้าร่วมมาตรการเป็นจำนวนมาก เช่น กรมราชทัณฑ์ไม่อนุมัติให้ข้าราชการเข้าร่วมมาตรการเลย เนื่องจากมีอัตรากำลังไม่เพียงพอทั้งรองรับภารกิจปัจจุบัน และภารกิจที่จะต้องเพิ่มขึ้นจากการขยายจำนวนเรือนจำ เป็นต้น
4.2 ข้าราชการยังไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมมาตรการ มีข้าราชการส่วนหนึ่งที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ แต่ยังไม่พร้อมเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ เช่น มีภาระหนี้สิน มีภาระทางครอบครัวที่ยังต้องรับผิดชอบ มีสัญญาผูกพันกับส่วนราชการ ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการและเงินบำเหน็จบำนาญ ยังไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหรือภาระหนี้สินนั้น ๆ และมีข้าราชการบางรายรู้สึกว่าสิทธิประโยชน์ของมาตรการนี้ว่าน้อยกว่าโครงการเกษียณก่อนกำหนดเดิมซึ่งมีการให้เงินช่วยรายเดือนผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ชรบ.) ไปตลอดชีวิต จึงไม่เข้าร่วมมาตรการ
4.3 ข้าราชการบางส่วนขอระงับการเข้าร่วมมาตรการเนื่องจากมีการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการในวันที่ 1 เมษายน 2547 เพิ่มขึ้น 3% ทุกอัตรา และเฉพาะระดับ 1 - 7 ได้เลื่อนอีก 2 ขั้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2547 ทำให้มีข้าราชการหลายรายระงับการลาออกและขอรับราชการต่อไป
4.4 การที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ถูกโอนไปจากส่วนราชการต่างๆ ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ โดยเฉพาะสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบททำให้มีข้อร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น (กถ.) ได้นำเรื่องการดำเนินมาตรการในลักษณะเดียวกันสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ
4.5 การประชาสัมพันธ์ในแต่ละส่วนราชการไม่เท่ากัน โดยเฉพาะส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ทำให้ข้าราชการได้รับทราบข้อมูลไม่พร้อมกัน ซึ่งกระทบต่อหลักการพิจารณาอนุมัติให้ลาออกโดยยึดหลัก "ยื่นก่อนได้สิทธิก่อน"ตามมติคณะรัฐมนตรี
4.6 ส่วนราชการในส่วนภูมิภาคยังไม่พร้อมที่จะบันทึกข้อมูลผู้สมัครผ่านทาง Website เนื่องจากระบบอินเทอร์เนตในส่วนภูมิภาคยังไม่สามารถรองรับการใช้งานเป็นจำนวนมากในเวลาพร้อม ๆ กันได้ ทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการบันทึกข้อมูล
5. การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5.1 สำนักงาน ก.พ.
1) ซักซ้อมแนวดำเนินการในส่วนของการกำหนดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งในงานหรือสาขาวิชาชีพขาดแคลนสมัครเข้าร่วมมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008.1/ว12 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546
2) กำหนดรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008.1/ว13 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2546 และจัดชี้แจงส่วนราชการระดับกรมและจังหวัดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2546 ณ หอประชุมสุขุมนัยประดิษฐ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.
3) ซักซ้อมแนวดำเนินการตามมาตรการฯ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว2 ลงวันที่ 13 มกราคม 2547
4) ประชาสัมพันธ์มาตรการโดยผ่านทาง Website ของสำนักงาน ก.พ. (www.ocsc.go.th) หนังสือเวียนสำนักงาน ก.พ. ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำโปรแกรมการบันทึกข้อมูลผู้เข้าร่วมมาตรการ ผ่านทาง Websiteสำนักงาน ก.พ.
5) จัดประชุมคณะกรรมการมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน พิจารณากำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการตามมาตรการ และพิจารณาจัดสรรโควตาผู้เข้าร่วมมาตรการที่เกินกว่าโควตาของส่วนราชการ
5.2 กระทรวงการคลัง
1) กรมบัญชีกลางดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งลาออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. …. และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2547 และดำเนินการจัดทำประกาศกระทรวงการคลังเรื่องการคงสิทธิตามโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2547 ตลอดจนแจ้งเวียนระเบียบ วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ลาออกตามาตรการ
2) กรมสรรพากรดำเนินการยกเว้นภาษีเงินก้อนที่ได้รับตามมาตรการ
3) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการยกเว้นการชดใช้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ธอส. - กบข.
5.3 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) และสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้รับการสนับสนุนเงินฝากจากสำนักงานประกันสังคมนำมาปล่อยสินเชื่อในโครงการ "เติมให้เต็ม เต็มใจจาก" ให้กับข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ โดยกำหนดวงเงินปล่อยกู้เบื้องต้น5,000 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษร้อยละ 5.5 ต่อปี เปิดให้ผู้สนใจแจ้งความจำนงขอการสนับสนุนสินเชื่อได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547
นอกจากนี้ ยังได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมการเป็นผู้ประกอบการให้แก่ผู้ยื่นขอรับสินเชื่อโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายครอบคลุมความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ การตลาด การเงิน การวางแผนธุรกิจ พร้อมข้อมูลแบบอย่างธุรกิจกว่า 1,000 รายการ ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการใหม่ โดยเตรียมการให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและขนาดการลงทุนที่เป็นไปได้
6. สรุป มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จในการปรับขนาดกำลังคนภาครัฐให้เหมาะสมสอดคล้องกับการพัฒนาระบบราชการได้ในระดับหนึ่ง โดยมีผู้เข้าร่วมมาตรการถึง48,101 คน ทำให้รัฐประหยัดรายจ่ายด้านบุคคลในระยะยาว ข้าราชการที่ลาออกตามมาตรการมีโอกาสที่จะเริ่มอาชีพใหม่โดยมีโอกาสกู้เงินรวมถึงได้รับการอบรมสำหรับการประกอบการจากธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างงานและการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 พฤษภาคม 2547--จบ--
-กภ-