คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าสรุปได้ดังนี้
สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยในปี 2547
- การบริโภคเหล็กทรงยาวในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2547 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 39% ปริมาณการผลิตบิลเลตในเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 0.37 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% แต่การนำเข้าใน 2 เดือนแรกของปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีที่แล้วคิดเป็นจำนวน 0.4 ล้านตัน
- การบริโภคเหล็กทรงแบนในเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.2 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 25% ในขณะที่มีการผลิตสแลป 0.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าจากปีก่อน เหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น 34% ใน 2 เดือนแรกของปี 2547 ส่วนการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนในระยะ 2 เดือนแรก ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 0.39 ล้านตัน ปริมาณการบริโภคเหล็กกล้าคาร์บอนรีดเย็นในช่วง 2 เดือนของปี 2547 มีประมาณ 0.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% โดยเป็นการผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น 11% และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 47%
- สถานการณ์ราคาเหล็กโดยรวมในตลาดโลกในเดือนพฤษภาคม 2547 ยังคงทรงตัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราคาเหล็กทรงแบน ณ 5 พฤษภาคม 2547 ราคาสแลปและเหล็กแผ่นรีดร้อน ณ ท่าเรือ CIS อยู่ที่ 458 และ 485 เหรียญสหรัฐต่อตัน fob คิดเป็น 20.35 และ 22.21 บาทต่อกิโลกรัม ณ ท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างคงที่จากช่วงกลางเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ส่วนราคาบิลเลตอยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตัน fob ณ ท่าเรือ CIS หรือ 16.86 บาทต่อกิโลกรัม ณ ท่าเรือกรุงเทพ ลดลงจากกลางเดือนมีนาคมซึ่งอยู่ที่ 18.38 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเหล็กเส้น ณ ท่าเรือกรุงเทพอยู่ที่ตันละ 20.53 บาท ในกลางเดือนมีนาคม และขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ตันละ 21.36 บาท ณ ต้นเดือนเมษายน และในปัจจุบัน ณ 5 พฤษภาคม 2547 เริ่มลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ตันละ 21.22 บาท
- การที่ราคาเหล็กค่อนข้างทรงตัวในระยะนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวมากเกินไป จึงกำหนดนโยบายเพื่อชะลอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนชะลอโครงการก่อสร้างต่าง ๆ อย่างไรก็ตามแนวโน้มในระยะยาวคาดว่าราคาเหล็กยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบเช่น เศษเหล็กและถ่านโค้ก ส่วนประเทศจีนแม้ว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากแต่ยังต้องพึ่งการนำเข้าเหล็กเกรดคุณภาพสูง นอกจากนี้การรวมตัวกันของสหภาพยุโรปยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ยุโรปจะมีการบริโภคเหล็กอย่างมากในอนาคต
- จากการที่เหล็กเส้นก่อสร้างได้มีราคาสูงขึ้นมากนับตั้งแต่ปลายปี 2546 ซึ่งส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจก่อสร้างเกิดความเดือดร้อนจากการที่เหล็กเส้นมีราคาแพงและขาดแคลน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนเหล็กเส้นก่อสร้างตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิต ต้นทุนและราคาขายหน้าโรงงานทุกสัปดาห์ รวมทั้งพิจารณามาตรการบรรเทาและแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนเหล้กเส้นก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาในเดือนมีนาคมและเมษายน คณะกรรมการฯ ได้มีการกำหนดราคาขายเหล็กเส้น ณ หน้าโรงงานและจัดสรรปริมาณในแต่ละเดือนให้แก่สมาชิกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งในการดำเนินการดัง กล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดของไทยลดลง โดยในขณะนี้ราคาเหล็กเส้นหน้าโรงงานอยู่ที่ 19,000 บาทต่อตัน ต่ำกว่าราคาเหล็กเส้นในตลาดโลกซึ่งอยู่ที่ 20,400 บาท ต่อตัน (c&f)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 พฤษภาคม 2547--จบ--
-กภ-
สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยในปี 2547
- การบริโภคเหล็กทรงยาวในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2547 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 39% ปริมาณการผลิตบิลเลตในเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 0.37 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% แต่การนำเข้าใน 2 เดือนแรกของปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีที่แล้วคิดเป็นจำนวน 0.4 ล้านตัน
- การบริโภคเหล็กทรงแบนในเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.2 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 25% ในขณะที่มีการผลิตสแลป 0.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าจากปีก่อน เหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น 34% ใน 2 เดือนแรกของปี 2547 ส่วนการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนในระยะ 2 เดือนแรก ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 0.39 ล้านตัน ปริมาณการบริโภคเหล็กกล้าคาร์บอนรีดเย็นในช่วง 2 เดือนของปี 2547 มีประมาณ 0.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% โดยเป็นการผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น 11% และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 47%
- สถานการณ์ราคาเหล็กโดยรวมในตลาดโลกในเดือนพฤษภาคม 2547 ยังคงทรงตัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราคาเหล็กทรงแบน ณ 5 พฤษภาคม 2547 ราคาสแลปและเหล็กแผ่นรีดร้อน ณ ท่าเรือ CIS อยู่ที่ 458 และ 485 เหรียญสหรัฐต่อตัน fob คิดเป็น 20.35 และ 22.21 บาทต่อกิโลกรัม ณ ท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างคงที่จากช่วงกลางเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ส่วนราคาบิลเลตอยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตัน fob ณ ท่าเรือ CIS หรือ 16.86 บาทต่อกิโลกรัม ณ ท่าเรือกรุงเทพ ลดลงจากกลางเดือนมีนาคมซึ่งอยู่ที่ 18.38 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเหล็กเส้น ณ ท่าเรือกรุงเทพอยู่ที่ตันละ 20.53 บาท ในกลางเดือนมีนาคม และขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ตันละ 21.36 บาท ณ ต้นเดือนเมษายน และในปัจจุบัน ณ 5 พฤษภาคม 2547 เริ่มลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ตันละ 21.22 บาท
- การที่ราคาเหล็กค่อนข้างทรงตัวในระยะนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวมากเกินไป จึงกำหนดนโยบายเพื่อชะลอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนชะลอโครงการก่อสร้างต่าง ๆ อย่างไรก็ตามแนวโน้มในระยะยาวคาดว่าราคาเหล็กยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบเช่น เศษเหล็กและถ่านโค้ก ส่วนประเทศจีนแม้ว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากแต่ยังต้องพึ่งการนำเข้าเหล็กเกรดคุณภาพสูง นอกจากนี้การรวมตัวกันของสหภาพยุโรปยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ยุโรปจะมีการบริโภคเหล็กอย่างมากในอนาคต
- จากการที่เหล็กเส้นก่อสร้างได้มีราคาสูงขึ้นมากนับตั้งแต่ปลายปี 2546 ซึ่งส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจก่อสร้างเกิดความเดือดร้อนจากการที่เหล็กเส้นมีราคาแพงและขาดแคลน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนเหล็กเส้นก่อสร้างตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิต ต้นทุนและราคาขายหน้าโรงงานทุกสัปดาห์ รวมทั้งพิจารณามาตรการบรรเทาและแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนเหล้กเส้นก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาในเดือนมีนาคมและเมษายน คณะกรรมการฯ ได้มีการกำหนดราคาขายเหล็กเส้น ณ หน้าโรงงานและจัดสรรปริมาณในแต่ละเดือนให้แก่สมาชิกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งในการดำเนินการดัง กล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดของไทยลดลง โดยในขณะนี้ราคาเหล็กเส้นหน้าโรงงานอยู่ที่ 19,000 บาทต่อตัน ต่ำกว่าราคาเหล็กเส้นในตลาดโลกซึ่งอยู่ที่ 20,400 บาท ต่อตัน (c&f)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 พฤษภาคม 2547--จบ--
-กภ-