คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์และแนวทางการจ่ายผลตอบแทนของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้าง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ว่าหากคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแห่งใดพิจารณาแล้วเห็นว่าอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้างในปัจจุบันซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มีความไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องกับภารกิจ หน้าที่ความรับผิดชอบ โดยเฉพาะการต้องปรับเปลี่ยนบทบาทหรือพลิกฟื้นองค์กรให้มีศักยภาพเพื่อนำองค์กรไปสู่การแข่งขันเป็นเหตุให้มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนดังกล่าวให้เหมาะสมขึ้น เห็นสมควรให้ดำเนินการ ดังนี้
1. ให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดศึกษา และพิจารณากำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้างโดยพิจารณาจากค่างาน และความสามารถในการจ่ายขององค์กร โดยกำหนดเกณฑ์อัตราค่าตอบแทน (Remuneration) ขั้นต่ำ - ขั้นสูง สำหรับผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้าง ประกอบด้วย ค่าตอบแทนคงที่และค่าตอบแทนผันแปร และส่งให้กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 8 จัตวา วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐาน สำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถใช้เป็นกรอบในการพิจารณาค่าตอบแทนในการจ้างผู้บริหารสูงสุดขององค์กรต่อไป
2. ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดแต่ละราย รวมถึงการพิจารณาปรับอัตราค่าตอบแทนแต่ละปีได้เอง โดยให้อยู่ภายใต้กรอบอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ - ขั้นสูง ที่กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการจ้างผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
3. ในสัญญาจ้างผู้บริหารสูงสุดควรกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ในการบริหารงานทั้งในด้านผลประกอบการและประสิทธิภาพเชิงกายภาพที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อใช้ในการประเมินผลผู้บริหารสูงสุดอย่างน้อยปีละครั้ง
4. หลักเกณฑ์การผ่อนคลายข้างต้น ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2547
กระทรวงการคลังเสนอรายงานว่า รัฐวิสาหกิจได้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าว ปรากฏว่า
1. ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้าง ซึ่งมีฐานการคำนวณจากโครงสร้างอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติแล้ว นั้น ได้กำหนดมาตั้งแต่ปี 2538 เป็นอุปสรรคและไม่จูงใจให้ได้ผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้างที่เป็นมืออาชีพมาบริหารรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับรัฐวิสาหกิจที่ได้ รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจที่ใช้เกณฑ์เฉลี่ยของธุรกิจ และรัฐวิสาหกิจที่ดี ไม่ได้ใช้โครงสร้างเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 โดยได้กำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้าง ในอัตราค่าตอบแทนตามราคาตลาดซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า
2. ปัจจุบันรัฐวิสาหกิจมีภาระที่จะต้องดำเนินการให้ได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม จึงมีความจำเป็นต้องจ้างผู้บริหารแบบมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ เพื่อเข้ามาบริหารงานที่มีความท้าทายในรัฐวิสาหกิจให้บรรลุเป้าหมาย และยุทธศาสตร์ของรัฐบาล จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มิถุนายน 2547--จบ--
-กภ-
1. ให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดศึกษา และพิจารณากำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้างโดยพิจารณาจากค่างาน และความสามารถในการจ่ายขององค์กร โดยกำหนดเกณฑ์อัตราค่าตอบแทน (Remuneration) ขั้นต่ำ - ขั้นสูง สำหรับผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้าง ประกอบด้วย ค่าตอบแทนคงที่และค่าตอบแทนผันแปร และส่งให้กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 8 จัตวา วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐาน สำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถใช้เป็นกรอบในการพิจารณาค่าตอบแทนในการจ้างผู้บริหารสูงสุดขององค์กรต่อไป
2. ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดแต่ละราย รวมถึงการพิจารณาปรับอัตราค่าตอบแทนแต่ละปีได้เอง โดยให้อยู่ภายใต้กรอบอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ - ขั้นสูง ที่กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการจ้างผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
3. ในสัญญาจ้างผู้บริหารสูงสุดควรกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ในการบริหารงานทั้งในด้านผลประกอบการและประสิทธิภาพเชิงกายภาพที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อใช้ในการประเมินผลผู้บริหารสูงสุดอย่างน้อยปีละครั้ง
4. หลักเกณฑ์การผ่อนคลายข้างต้น ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2547
กระทรวงการคลังเสนอรายงานว่า รัฐวิสาหกิจได้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าว ปรากฏว่า
1. ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้าง ซึ่งมีฐานการคำนวณจากโครงสร้างอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติแล้ว นั้น ได้กำหนดมาตั้งแต่ปี 2538 เป็นอุปสรรคและไม่จูงใจให้ได้ผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้างที่เป็นมืออาชีพมาบริหารรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับรัฐวิสาหกิจที่ได้ รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจที่ใช้เกณฑ์เฉลี่ยของธุรกิจ และรัฐวิสาหกิจที่ดี ไม่ได้ใช้โครงสร้างเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 โดยได้กำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดตามสัญญาจ้าง ในอัตราค่าตอบแทนตามราคาตลาดซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า
2. ปัจจุบันรัฐวิสาหกิจมีภาระที่จะต้องดำเนินการให้ได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม จึงมีความจำเป็นต้องจ้างผู้บริหารแบบมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ เพื่อเข้ามาบริหารงานที่มีความท้าทายในรัฐวิสาหกิจให้บรรลุเป้าหมาย และยุทธศาสตร์ของรัฐบาล จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มิถุนายน 2547--จบ--
-กภ-