คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนด้านสังคม การศึกษา และเศรษฐกิจชุมชนตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มบทบาทเอกชนในการสนับสนุนการเรียนรู้และ สันทนาการ กระทรวงการคลังเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มบทบาทเอกชนในการสนับสนุนการเรียนรู้และสันทนาการเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 กำหนดให้การบริจาคเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ ให้แก่ หอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของภาคเอกชนที่เปิดให้ใช้เป็นการสาธารณะ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ รวมถึงหน่วยงานลักษณะเดียวกันของทางราชการ ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี ดังนี้
1) ให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
2) ให้ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะฯ (กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคให้หอสมุด หรือห้องสมุดของทางราชการหักเป็นรายจ่ายได้อยู่แล้ว ตามกฎหมายปัจจุบัน)
1.2 กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่มีการบริจาคเพื่อสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการกีฬา คณะกรรมการจังหวัด ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาเพื่อการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน หรือสมาคมกีฬาสมัครเล่นที่ได้รับอนุญาตจากการกีฬาแห่งประเทศไทย สามารถหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน (กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคให้แก่ องค์กรดังกล่าว หักเป็นรายจ่ายได้อยู่แล้วตามกฎหมายปัจจุบัน)
1.3 กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนด้านสันทนาการในการจัดสร้างและบำรุงรักษา สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา ของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือ สถานที่ลักษณะเดียวกับของทางราชการ สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
2. มาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนการเลี้ยงดูบุพการี และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส กระทรวงการคลังเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูบุพการี และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเพิ่มเติม ดังนี้
2.1 กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่มีการอุปการะเลี้ยงดูบุพการีของตนเองหรือของคู่สมรสที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และอาศัยอยู่กับผู้มีเงินได้ สามารถหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้ 15,000 บาทต่อบุพการี 1 ท่าน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด
2.2 กำหนดให้การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ให้แก่ กองทุน ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กองทุนผู้สูงอายุตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ สถานพักฟื้น บำบัด ฟื้นฟู เด็ก คนชรา หรือผู้พิการของเอกชนที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุง หรือเงินสนับสนุนใด ๆ หรือหน่วยงานลักษณะเดียวกันของทางราชการ ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี ดังนี้
1) ให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักเป็นค่า ลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
2) ให้ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการ สาธารณประโยชน์อื่นแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มิถุนายน 2547--จบ--
-กภ-
1. มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มบทบาทเอกชนในการสนับสนุนการเรียนรู้และ สันทนาการ กระทรวงการคลังเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มบทบาทเอกชนในการสนับสนุนการเรียนรู้และสันทนาการเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 กำหนดให้การบริจาคเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ ให้แก่ หอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของภาคเอกชนที่เปิดให้ใช้เป็นการสาธารณะ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ รวมถึงหน่วยงานลักษณะเดียวกันของทางราชการ ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี ดังนี้
1) ให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
2) ให้ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะฯ (กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคให้หอสมุด หรือห้องสมุดของทางราชการหักเป็นรายจ่ายได้อยู่แล้ว ตามกฎหมายปัจจุบัน)
1.2 กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่มีการบริจาคเพื่อสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการกีฬา คณะกรรมการจังหวัด ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาเพื่อการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน หรือสมาคมกีฬาสมัครเล่นที่ได้รับอนุญาตจากการกีฬาแห่งประเทศไทย สามารถหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน (กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคให้แก่ องค์กรดังกล่าว หักเป็นรายจ่ายได้อยู่แล้วตามกฎหมายปัจจุบัน)
1.3 กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนด้านสันทนาการในการจัดสร้างและบำรุงรักษา สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา ของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือ สถานที่ลักษณะเดียวกับของทางราชการ สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
2. มาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนการเลี้ยงดูบุพการี และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส กระทรวงการคลังเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูบุพการี และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเพิ่มเติม ดังนี้
2.1 กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่มีการอุปการะเลี้ยงดูบุพการีของตนเองหรือของคู่สมรสที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และอาศัยอยู่กับผู้มีเงินได้ สามารถหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้ 15,000 บาทต่อบุพการี 1 ท่าน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด
2.2 กำหนดให้การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ให้แก่ กองทุน ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กองทุนผู้สูงอายุตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ สถานพักฟื้น บำบัด ฟื้นฟู เด็ก คนชรา หรือผู้พิการของเอกชนที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุง หรือเงินสนับสนุนใด ๆ หรือหน่วยงานลักษณะเดียวกันของทางราชการ ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี ดังนี้
1) ให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักเป็นค่า ลดหย่อนในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
2) ให้ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการ สาธารณประโยชน์อื่นแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มิถุนายน 2547--จบ--
-กภ-