คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. ….แล้วมีมติ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเป็นหลัก และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอมาประกอบการพิจารณาด้วย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำประมาณการใช้จ่ายงบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้จัดตั้งองค์กรเกษตรกรโดยการขึ้นทะเบียน และแบ่งองค์กรเกษตรกรเป็น 2 ประเภท คือ องค์กรเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ต่อสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด และองค์กรเกษตรกรตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ต่อสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ
2. กำหนดให้สภาการเกษตรแห่งชาติประกอบด้วย ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ผู้แทนองค์กร ผู้แทนภาคการผลิต และผู้แทนเกษตรกรจังหวัด โดยมีหน้าที่ที่สำคัญ คือ จัดทำนโยบายพัฒนาการเกษตรและแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาการเกษตรแห่งชาติ กำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาและแผนการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่องค์กรเกษตรกรและให้คำปรึกษาและเสนอข้อแนะนำแก่รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาการเกษตรและการพัฒนาการเกษตรอื่น ๆ
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม โดยมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ ติดตามและประเมินผลการดำเนินการกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมเสนอสภาการเกษตรแห่งชาติพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
4. กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติเป็นนิติบุคคลและมีรายได้จากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติเสนองบประมาณรายจ่ายไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมแล้วแต่กรณี
5. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานสินค้าเกษตรชั้นปฐมขึ้น เพื่อทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ
6. กำหนดให้สภาการเกษตรแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาการเกษตรแห่งชาติ และติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแผนแม่บทแล้วรายงานเพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี
7. กำหนดให้มีสภาการเกษตรจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่เสนอนโยบายและแนวทางในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรต่อสภาการเกษตรแห่งชาติและติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน
8. กำหนดให้สำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด เป็นหน่วยงานของสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ และให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่เลขานุการสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด และให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด ตลอดจนกำหนดให้เลขาธิการและเลขานุการสำนักงานสภาการเกษตรจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาล่วงหน้า รวม 2 แบบ
1. ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... (แบบที่ 1) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 กำหนดให้มีสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นนิติบุคคลโดยประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นเกษตรกรและมีคณะกรรมการที่ได้รับเลือกจากสมาชิกเป็นผู้บริหารมีอำนาจหน้าที่หลักในการเป็นองค์กรเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกันในระหว่างสมาชิกและประสานความเข้าใจในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลให้แก่สมาชิก รวมทั้งประสานกับองค์กรภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
1.2 รายได้ของสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยนั้น เนื่องจากเป็นกิจการของกลุ่มเกษตรกรรมและผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงมิให้นำงบประมาณรายจ่ายมาเป็นค่าใช้จ่าย แต่ให้มีการพิจารณารวมกันระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรมและภาคอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการขายผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมเป็นค่าใช้จ่ายต่อไป
1.3 กำหนดให้มีการจัดตั้งสาขาสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยขึ้นได้ เพราะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสมาชิก แต่เพื่อมิให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายจึงให้มีการพิจารณาพัฒนาไปแต่ละระยะ โดยระยะแรกอาจตั้งเป็นสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยก่อน แล้วอาจมีการจัดตั้งสาขาเป็นภาคโดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งให้ครบทุกจังหวัด
1.4 กำหนดให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรม และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างครบถ้วนทั้งการผลิตและการตลาด โดยให้มีการประชุมกันกับผู้แทนทุกฝ่ายดังกล่าว เพื่อทำเป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลไปดำเนินการพิจารณาต่อไป
2. ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. .... (แบบที่ 2) มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดให้มีสภาการเกษตรแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี จำนวน 5 คน และข้าราชการจำนวน 8 คน ผู้แทนภาคเกษตรกรรมจำนวน 20 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 8 คน สำหรับผู้แทนภาคเกษตรกรรม มีจำนวนเท่ากับที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 และจะมีการกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาในรายละเอียดต่อไป
2.2 ให้มีการจัดตั้งสภาการเกษตรอำเภอขึ้นได้ เพื่อให้เป็นองค์กรสะท้อนความคิดเห็นจากพื้นที่ที่ประกอบการเกษตรกรรม รวมทั้งติดตามผลการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาการเกษตรที่มีการกำหนดขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานของสภาการเกษตรแห่งชาติขึ้นได้ แต่เพื่อมิให้เป็นปัญหาด้านงบประมาณมากเกินไป จึงกำหนดให้ในระยะแรกอาจจัดตั้งโดยรวมหลายอำเภอเข้าด้วยกันได้
2.3 ให้สภาการเกษตรแห่งชาติจัดประชุมร่วมกับภาคพาณิชยกรรมและภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาการเกษตร ซึ่งจะครอบคลุมถึงแนวทางการพัฒนาการผลิต และการสนับสนุนด้านการตลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเกษตรกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก็จะใช้เป็นแผนในการปฏิบัติต่อไป
2.4 กำหนดให้มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมโดยประกอบด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมในแต่ละประเภท
2.5 กำหนดให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ เพราะภารกิจมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้วและเป็นการประหยัดงบประมาณ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเป็นหลัก และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอมาประกอบการพิจารณาด้วย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำประมาณการใช้จ่ายงบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้จัดตั้งองค์กรเกษตรกรโดยการขึ้นทะเบียน และแบ่งองค์กรเกษตรกรเป็น 2 ประเภท คือ องค์กรเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ต่อสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด และองค์กรเกษตรกรตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ต่อสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ
2. กำหนดให้สภาการเกษตรแห่งชาติประกอบด้วย ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ผู้แทนองค์กร ผู้แทนภาคการผลิต และผู้แทนเกษตรกรจังหวัด โดยมีหน้าที่ที่สำคัญ คือ จัดทำนโยบายพัฒนาการเกษตรและแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาการเกษตรแห่งชาติ กำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาและแผนการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่องค์กรเกษตรกรและให้คำปรึกษาและเสนอข้อแนะนำแก่รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาการเกษตรและการพัฒนาการเกษตรอื่น ๆ
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม โดยมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ ติดตามและประเมินผลการดำเนินการกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมเสนอสภาการเกษตรแห่งชาติพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
4. กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติเป็นนิติบุคคลและมีรายได้จากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติเสนองบประมาณรายจ่ายไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมแล้วแต่กรณี
5. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานสินค้าเกษตรชั้นปฐมขึ้น เพื่อทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ
6. กำหนดให้สภาการเกษตรแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาการเกษตรแห่งชาติ และติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแผนแม่บทแล้วรายงานเพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี
7. กำหนดให้มีสภาการเกษตรจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่เสนอนโยบายและแนวทางในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรต่อสภาการเกษตรแห่งชาติและติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน
8. กำหนดให้สำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด เป็นหน่วยงานของสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ และให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่เลขานุการสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด และให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการสภาการเกษตรจังหวัด ตลอดจนกำหนดให้เลขาธิการและเลขานุการสำนักงานสภาการเกษตรจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาล่วงหน้า รวม 2 แบบ
1. ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... (แบบที่ 1) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 กำหนดให้มีสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นนิติบุคคลโดยประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นเกษตรกรและมีคณะกรรมการที่ได้รับเลือกจากสมาชิกเป็นผู้บริหารมีอำนาจหน้าที่หลักในการเป็นองค์กรเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกันในระหว่างสมาชิกและประสานความเข้าใจในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลให้แก่สมาชิก รวมทั้งประสานกับองค์กรภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
1.2 รายได้ของสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยนั้น เนื่องจากเป็นกิจการของกลุ่มเกษตรกรรมและผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงมิให้นำงบประมาณรายจ่ายมาเป็นค่าใช้จ่าย แต่ให้มีการพิจารณารวมกันระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรมและภาคอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการขายผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมเป็นค่าใช้จ่ายต่อไป
1.3 กำหนดให้มีการจัดตั้งสาขาสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยขึ้นได้ เพราะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสมาชิก แต่เพื่อมิให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายจึงให้มีการพิจารณาพัฒนาไปแต่ละระยะ โดยระยะแรกอาจตั้งเป็นสภาการเกษตรแห่งประเทศไทยก่อน แล้วอาจมีการจัดตั้งสาขาเป็นภาคโดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งให้ครบทุกจังหวัด
1.4 กำหนดให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรม และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างครบถ้วนทั้งการผลิตและการตลาด โดยให้มีการประชุมกันกับผู้แทนทุกฝ่ายดังกล่าว เพื่อทำเป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลไปดำเนินการพิจารณาต่อไป
2. ร่างพระราชบัญญัติสภาการเกษตรแห่งชาติ พ.ศ. .... (แบบที่ 2) มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดให้มีสภาการเกษตรแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี จำนวน 5 คน และข้าราชการจำนวน 8 คน ผู้แทนภาคเกษตรกรรมจำนวน 20 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 8 คน สำหรับผู้แทนภาคเกษตรกรรม มีจำนวนเท่ากับที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 และจะมีการกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาในรายละเอียดต่อไป
2.2 ให้มีการจัดตั้งสภาการเกษตรอำเภอขึ้นได้ เพื่อให้เป็นองค์กรสะท้อนความคิดเห็นจากพื้นที่ที่ประกอบการเกษตรกรรม รวมทั้งติดตามผลการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาการเกษตรที่มีการกำหนดขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานของสภาการเกษตรแห่งชาติขึ้นได้ แต่เพื่อมิให้เป็นปัญหาด้านงบประมาณมากเกินไป จึงกำหนดให้ในระยะแรกอาจจัดตั้งโดยรวมหลายอำเภอเข้าด้วยกันได้
2.3 ให้สภาการเกษตรแห่งชาติจัดประชุมร่วมกับภาคพาณิชยกรรมและภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาการเกษตร ซึ่งจะครอบคลุมถึงแนวทางการพัฒนาการผลิต และการสนับสนุนด้านการตลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเกษตรกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก็จะใช้เป็นแผนในการปฏิบัติต่อไป
2.4 กำหนดให้มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมโดยประกอบด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมในแต่ละประเภท
2.5 กำหนดให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นสำนักงานเลขาธิการสภาการเกษตรแห่งชาติ เพราะภารกิจมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้วและเป็นการประหยัดงบประมาณ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-