คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง 5 แห่ง ได้แก่ กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมธนารักษ์ และกรมบัญชีกลาง ดังนี้
1. กรมศุลกากร ได้ดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนกองทัพและประชาชน ได้แก่ การนำเรือศุลกากร (เรือเร็ว และเรือยาง) ไปใช้ในการลาดตระเวน การปันส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันปาล์ม การบริจาคเงินให้แก่โรงเรียน จำนวน 600,000 บาท รวมทั้ง การจ้างคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างของกรมศุลกากร
2. กรมสรรพสามิต ได้จัดอบรมและพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ค่านิยม ภาษาท้องถิ่น (ยาวี) ของประชาชนในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสนับสนุนส่งเสริมสินค้า OTOP ประเภทน้ำผัก และผลไม้
3. กรมสรรพากร ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยการเร่งรัดคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มได้คืนให้ผู้ประกอบการแล้ว 35.6 ล้านบาท จากจำนวน 186.33 ล้านบาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คืนภาษีให้แล้ว ร้อยละ 99.32 เหลืออีกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากอยู่ระหว่างรอเอกสารจากผู้เสียภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ขยายระยะเวลาการชำระภาษีของผู้ประกอบการ หากไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดเวลา
4. กรมธนารักษ์ จัดทำโครงการที่ราชพัสดุเพื่อสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารราชพัสดุ การสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างตามยุทธศาสตร์หรือตามความต้องการของจังหวัด และการจัดหาที่อยู่อาศัยและหรือที่ทำกินให้ราษฎรผู้มีรายได้น้อย
5. กรมบัญชีกลาง ได้ให้การช่วยเหลือ ดังนี้
5.1 อนุมัติสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณแก่ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก
5.2 จ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (สปพ.) ในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ให้แก่ข้าราชการ และลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงานประจำในพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2547
5.3 กำหนดเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนเพิ่มเติมให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำตามข้อ 5.2 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด หรือแผนปฏิบัติการที่ส่วนราชการกำหนด โดยความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนในอัตรา 2,500 บาท ทั้งนี้ ค่าตอบแทน ในข้อ 5.2 และ 5.3 รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 2,500 บาท
5.4 สำหรับผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ นอกจากในข้อ 5.2 และ 5.3 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้พิจารณากำหนดบุคคลผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สมควรได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือน โดยให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน และหากเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ให้ได้รับเงินพิเศษเพิ่มเติมอีก 2,500 บาท แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 2,500 บาท ต่อคนต่อเดือน
5.5 จ่ายเงินช่วยเหลือจากโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ เช่น ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ การประกันชีวิตให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และลูกจ้างประจำ และจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ
5.6 ได้อนุมัติการช่วยเหลือบุตรของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ได้รับสิทธิสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-
1. กรมศุลกากร ได้ดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนกองทัพและประชาชน ได้แก่ การนำเรือศุลกากร (เรือเร็ว และเรือยาง) ไปใช้ในการลาดตระเวน การปันส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันปาล์ม การบริจาคเงินให้แก่โรงเรียน จำนวน 600,000 บาท รวมทั้ง การจ้างคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างของกรมศุลกากร
2. กรมสรรพสามิต ได้จัดอบรมและพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ค่านิยม ภาษาท้องถิ่น (ยาวี) ของประชาชนในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสนับสนุนส่งเสริมสินค้า OTOP ประเภทน้ำผัก และผลไม้
3. กรมสรรพากร ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยการเร่งรัดคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มได้คืนให้ผู้ประกอบการแล้ว 35.6 ล้านบาท จากจำนวน 186.33 ล้านบาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คืนภาษีให้แล้ว ร้อยละ 99.32 เหลืออีกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากอยู่ระหว่างรอเอกสารจากผู้เสียภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ขยายระยะเวลาการชำระภาษีของผู้ประกอบการ หากไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดเวลา
4. กรมธนารักษ์ จัดทำโครงการที่ราชพัสดุเพื่อสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารราชพัสดุ การสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างตามยุทธศาสตร์หรือตามความต้องการของจังหวัด และการจัดหาที่อยู่อาศัยและหรือที่ทำกินให้ราษฎรผู้มีรายได้น้อย
5. กรมบัญชีกลาง ได้ให้การช่วยเหลือ ดังนี้
5.1 อนุมัติสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณแก่ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก
5.2 จ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (สปพ.) ในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ให้แก่ข้าราชการ และลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงานประจำในพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2547
5.3 กำหนดเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนเพิ่มเติมให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำตามข้อ 5.2 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด หรือแผนปฏิบัติการที่ส่วนราชการกำหนด โดยความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนในอัตรา 2,500 บาท ทั้งนี้ ค่าตอบแทน ในข้อ 5.2 และ 5.3 รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 2,500 บาท
5.4 สำหรับผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ นอกจากในข้อ 5.2 และ 5.3 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้พิจารณากำหนดบุคคลผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สมควรได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือน โดยให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน และหากเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ให้ได้รับเงินพิเศษเพิ่มเติมอีก 2,500 บาท แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 2,500 บาท ต่อคนต่อเดือน
5.5 จ่ายเงินช่วยเหลือจากโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ เช่น ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ การประกันชีวิตให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และลูกจ้างประจำ และจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ
5.6 ได้อนุมัติการช่วยเหลือบุตรของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ได้รับสิทธิสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-