คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการดำเนินการโครงการนำวัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท ซึ่งสามารถเผยแพร่ความรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นการบูรณาการศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านสาขาศิลปะการแสดงเข้ากับการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายไปสู่ประชาชนอย่างใกล้ชิด และได้มีการจัดทำรายงานประจำปี 2546 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อเผยแพร่บทบาท ภารกิจ และผลการดำเนินงานของกรมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 สรุปได้ดังนี้
จากแนวคิดที่ต้องการให้ชาวบ้านโดยทั่วไป ได้รับความรู้ด้านกฎหมายและสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาของชาวบ้านเอง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงได้มีโครงการนำวัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทขึ้น ซึ่งเป็นการนำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินดีเด่น หรือศิลปินที่ได้รับความนิยม ทั้ง 4 ภาค จำนวน 25 คณะ เข้าร่วมโครงการเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ โดยการสอดแทรกไปในบทร้อง ของแต่ละรูปแบบหรือประเภทของการแสดง หรือแต่งเนื้อหาขึ้นใหม่ ผูกเป็นเรื่องราวให้ผู้ชมเห็นถึงสิทธิของตนเอง โดยเฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเป็นการศึกษาควบคู่ไปกับการทดลองนำไปใช้ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับพัฒนาการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืน และเป็นภาษาชาวบ้านเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง จากการดำเนินการและการศึกษาโครงการดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่าการนำทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) ประเภทศิลปะการแสดงพื้นบ้าน มาบูรณาการร่วมกับวิถีทางหนึ่งในหลายๆวิธีหากทำร่วมกับกระบวนการอื่นๆ อย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างสูง และจากผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าการนำศิลปินพื้นบ้านมาสื่อสารองค์ความรู้ ด้วยศิลปะการแสดงของตน เป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถใช้ได้ผลในบริบทของสังคมไทยที่มีความแน่นอนและเหมาะสมตามเงื่อนไขของกาลเวลา และจากการประมวลความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมในโครงการทั้งที่เป็นผู้เข้าร่วมเสวนา และผู้เข้าชมการแสดงในเรื่องต่างๆ เช่น การเลือกศิลปินมาแสดง เรื่องราวที่นำมาแสดง ภาษาที่ศิลปินใช้ เป็นต้น พบว่า โดยภาพรวมแล้วอยู่ในระดับความพอใจที่สูง โดยกลุ่มเป้าหมายที่พบว่าพึงพอใจสูงมาก ได้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 46-55 ปี และการใช้กระบวนการนี้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่มีความรู้ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา รายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชมการแสดงที่เป็นผู้แทนชุมชน/พื้นที่ คือชาวบ้านและประชาชนทั่วไปมีความคิดเห็นต่อการแสดงของศิลปินพื้นบ้านในระดับสูงสุด ดังนั้นการนำศิลปินพื้นบ้านสาขาศิลปะการแสดงมาถ่ายทอดความรู้กฎหมายและเสรีภาพจะเหมาะสมกับชุมชนในชนบท และประชาชนทั่วไป แต่วิธีการหรือรูปแบบในการนำเสนอต้องประยุกต์หรือปรับให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยอาจนำสื่ออื่นที่ทันสมัยเข้าร่วมบูรณาการด้วย เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และสามารถขยายสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการดังกล่าวของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เมื่อปี พ.ศ. 2546 นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ "เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ" ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรจากหลากหลายอาชีพ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องทางด้านวัฒนธรรม เช่น ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัด สมาชิกสภาวัฒนธรรม ครู อาจารย์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น โดยบุคลเหล่านี้มีความสนใจทางด้านวัฒนธรรม และเห็นว่ากระบวนการนำวัฒนธรรมมาเผยแพร่ความรู้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด จึงยินดีที่จะเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นกำลังหลักสำคัญในการส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและสิทธิภาพ ให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ในปี พ.ศ. 2547 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้รับงบประมาณส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพให้มีความเข้มแข็งขึ้น โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ในการอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ ที่เกิดจากโครงการ ในปี พ.ศ. 2546 ดังกล่าว และขยายสู่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายฯ ช่วยกันส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ให้เป็น "วิถีชีวิตแห่งสิทธิเสรีภาพ เพื่อสังคมที่เป็นธรรม" ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 20 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-
จากแนวคิดที่ต้องการให้ชาวบ้านโดยทั่วไป ได้รับความรู้ด้านกฎหมายและสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาของชาวบ้านเอง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงได้มีโครงการนำวัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทขึ้น ซึ่งเป็นการนำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินดีเด่น หรือศิลปินที่ได้รับความนิยม ทั้ง 4 ภาค จำนวน 25 คณะ เข้าร่วมโครงการเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ โดยการสอดแทรกไปในบทร้อง ของแต่ละรูปแบบหรือประเภทของการแสดง หรือแต่งเนื้อหาขึ้นใหม่ ผูกเป็นเรื่องราวให้ผู้ชมเห็นถึงสิทธิของตนเอง โดยเฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเป็นการศึกษาควบคู่ไปกับการทดลองนำไปใช้ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับพัฒนาการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืน และเป็นภาษาชาวบ้านเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง จากการดำเนินการและการศึกษาโครงการดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่าการนำทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) ประเภทศิลปะการแสดงพื้นบ้าน มาบูรณาการร่วมกับวิถีทางหนึ่งในหลายๆวิธีหากทำร่วมกับกระบวนการอื่นๆ อย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างสูง และจากผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าการนำศิลปินพื้นบ้านมาสื่อสารองค์ความรู้ ด้วยศิลปะการแสดงของตน เป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถใช้ได้ผลในบริบทของสังคมไทยที่มีความแน่นอนและเหมาะสมตามเงื่อนไขของกาลเวลา และจากการประมวลความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมในโครงการทั้งที่เป็นผู้เข้าร่วมเสวนา และผู้เข้าชมการแสดงในเรื่องต่างๆ เช่น การเลือกศิลปินมาแสดง เรื่องราวที่นำมาแสดง ภาษาที่ศิลปินใช้ เป็นต้น พบว่า โดยภาพรวมแล้วอยู่ในระดับความพอใจที่สูง โดยกลุ่มเป้าหมายที่พบว่าพึงพอใจสูงมาก ได้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 46-55 ปี และการใช้กระบวนการนี้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่มีความรู้ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา รายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชมการแสดงที่เป็นผู้แทนชุมชน/พื้นที่ คือชาวบ้านและประชาชนทั่วไปมีความคิดเห็นต่อการแสดงของศิลปินพื้นบ้านในระดับสูงสุด ดังนั้นการนำศิลปินพื้นบ้านสาขาศิลปะการแสดงมาถ่ายทอดความรู้กฎหมายและเสรีภาพจะเหมาะสมกับชุมชนในชนบท และประชาชนทั่วไป แต่วิธีการหรือรูปแบบในการนำเสนอต้องประยุกต์หรือปรับให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยอาจนำสื่ออื่นที่ทันสมัยเข้าร่วมบูรณาการด้วย เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และสามารถขยายสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการดังกล่าวของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เมื่อปี พ.ศ. 2546 นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ "เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ" ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรจากหลากหลายอาชีพ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องทางด้านวัฒนธรรม เช่น ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัด สมาชิกสภาวัฒนธรรม ครู อาจารย์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น โดยบุคลเหล่านี้มีความสนใจทางด้านวัฒนธรรม และเห็นว่ากระบวนการนำวัฒนธรรมมาเผยแพร่ความรู้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด จึงยินดีที่จะเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นกำลังหลักสำคัญในการส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและสิทธิภาพ ให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ในปี พ.ศ. 2547 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้รับงบประมาณส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพให้มีความเข้มแข็งขึ้น โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ในการอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ ที่เกิดจากโครงการ ในปี พ.ศ. 2546 ดังกล่าว และขยายสู่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายฯ ช่วยกันส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ให้เป็น "วิถีชีวิตแห่งสิทธิเสรีภาพ เพื่อสังคมที่เป็นธรรม" ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 20 กรกฎาคม 2547--จบ--
-กภ-