คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานคณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ตามที่คณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การดำเนินการของคณะกรรมการอิสระฯ
ในการจัดทำรายงานภาคแรกนี้ คณะกรรมการอิสระฯ ได้ดำเนินการประชุมแล้วรวมทั้งสิ้น 22 ครั้ง และเชิญบุคคล หน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ราย รวมทั้งได้เดินทางไปตรวจสอบ เสาะหาพยานหลักฐานและสอบถามราษฎรในพื้นที่ ตลอดจนสัมภาษณ์บุคคลที่มามอบตัวกับทางการ รวม 4 ครั้ง ในการนี้ คณะกรรมการอิสระฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการฝ่ายประสานงาน และคณะอนุกรรมการฝ่ายสอบสวนและพิสูจน์หลักฐาน และคณะทำงานอีก 1 คณะ ได้แก่ คณะทำงานตรวจสอบและพิสูจน์วัตถุพยานเกี่ยวกับกรณีกรือเซะ เพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการอิสระฯ ด้วย
2. การลำดับเหตุการณ์ที่บ้านกรือเซะ
2.1 ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 28 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 05.00 น. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจำนวนประมาณไม่ต่ำกว่า 30 คน ได้ร่วมกันบุกเข้าโจมตีจุดตรวจกรือเซะฝั่งป้อมยามด้านสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งคั่นกลางอยู่ระหว่างป้อมยามกับมัสยิดกรือเซะ ได้วางเพลิงและทำลายทรัพย์สินของทางราชการ กรูเข้าทำร้ายและสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยอาวุธมีดและได้ปล้นยึดอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนของทางราชการไปจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบางส่วนได้หลบหนีเข้าไปทางบริเวณสวนมะพร้าวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของป้อมยาม บางส่วนได้เข้ายึดครองมัสยิดกรือเซะซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก และใช้เครื่องขยายเสียงของมัสยิดประกาศเรียกร้องให้ชาวบ้านเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อพระเจ้า และประกาศขับไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากมัสยิดพร้อมกับประกาศการพลีชีพเพื่อพระเจ้า
2.2 เวลาประมาณ 06.00 น. ทหารจำนวน 6 คนได้ใช้รถฮัมวีเดินทางไปยังมัสยิดกรือเซะ เมื่อกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเห็นเข้าก็ยิงมาที่รถ เจ้าหน้าที่จึงได้ยิงตอบโต้ด้วยปืนกลประจำรถ จากนั้นก็มีการยิงออกมาจากมัสยิดโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืน การยิงต่อสู้และปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่ในมัสยิดกรือเซะและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล้อมอยู่ข้างนอกก็ได้เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และได้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อและต่อเนื่องกันมาตลอด จนถึงเวลาประมาณ 14.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตัดสินใจดำเนินการทางยุทธวิธีขั้นเด็ดขาด โดยการใช้กองกำลังทหารจู่โจมเข้าไปในมัสยิด และใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้และสังหารผู้ก่อความไม่สงบที่เหลืออยู่
2.3 กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้ศาสนาเป็นยุทธศาสตร์ปลุกระดม เพื่อสร้างแนวร่วม ทั้งนี้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนผู้มอบตัวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กรือเซะ พบว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีหลักความเชื่ออย่างงมงาย เช่น เชื่อว่า เมื่อได้กล่าวถ้อยคำบางถ้อยคำ (ซึ่งไม่ปรากฎในคำสอนของศาสนาอิสลาม) ขณะเข้าปฏิบัติการแล้วจะทำให้เจ้าหน้าที่มองไม่เห็น และบางกลุ่มของผู้ก่อความไม่สงบได้นำทรายซึ่งได้ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ไปโรยไว้บนเส้นทางบริเวณอำเภอเทพาแห่งหนึ่ง กับบริเวณอำเภอนาทวีอีกแห่งหนึ่ง โดยเชื่อว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งกำลังมาสนับสนุนได้ เพราะจะเห็นเส้นทางดังกล่าวกลายเป็นทะเล
2.4 วิกฤตการณ์ความรุนแรงนับแต่ผู้ก่อความไม่สงบเริ่มปฏิบัติการจนถึงตอนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติเหตุการณ์ด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดนั้นกินเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 9 ชั่วโมงเศษ ยังผลให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเสียชีวิตรวม 3 คน และบาดเจ็บสาหัสรวม 8 คน ส่วนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 32 คน ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์เฉลี่ยอายุประมาณ 30 ปี โดยไม่มีผู้ใดถูกจับกุมได้เลยในวันนั้น แต่มีผู้มามอบตัวกับทางการหลังจากนั้นประมาณ 3 คน
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 สำหรับปัญหาความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้น คณะกรรมการอิสระฯ เห็นสมควรเสนอแนะมาตรการเร่งด่วนขั้นแรกมา ณ ที่นี้กล่าวคือ รัฐควรพิจารณาจ่ายเงินค่าช่วยเหลือให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตและแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่บ้านกรือเซะ ทั้งนี้ โดยอาศัยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรมเป็นหลัก อีกทั้งยังจะเป็นการสนองตอบเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายและมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินไปแล้วด้วย คณะกรรมการอิสระฯเชื่อว่าการจ่ายเงินค่าช่วยเหลือดังกล่าวน่าจะมีส่วนช่วยในการเยียวยาและสมานแผลที่เกิดจากเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และอาจเป็นก้าวหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ นอกจากนั้นแล้วมาตรการดังกล่าวน่าจะนำความพึงพอใจได้บางส่วนมาสู่บุคคล องค์การ และนานาประเทศที่กำลังจ้องมองประเทศไทยว่าจะจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และย่อมจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นธรรมและมนุษยธรรม
3.2 รัฐบาลควรดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังได้กำหนดแผนเผชิญเหตุในสถานการณ์ฉุกเฉินให้มีความชัดเจนรัดกุม พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องมืออย่างเพียงพอตลอดจนฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-
1. การดำเนินการของคณะกรรมการอิสระฯ
ในการจัดทำรายงานภาคแรกนี้ คณะกรรมการอิสระฯ ได้ดำเนินการประชุมแล้วรวมทั้งสิ้น 22 ครั้ง และเชิญบุคคล หน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ราย รวมทั้งได้เดินทางไปตรวจสอบ เสาะหาพยานหลักฐานและสอบถามราษฎรในพื้นที่ ตลอดจนสัมภาษณ์บุคคลที่มามอบตัวกับทางการ รวม 4 ครั้ง ในการนี้ คณะกรรมการอิสระฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการฝ่ายประสานงาน และคณะอนุกรรมการฝ่ายสอบสวนและพิสูจน์หลักฐาน และคณะทำงานอีก 1 คณะ ได้แก่ คณะทำงานตรวจสอบและพิสูจน์วัตถุพยานเกี่ยวกับกรณีกรือเซะ เพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการอิสระฯ ด้วย
2. การลำดับเหตุการณ์ที่บ้านกรือเซะ
2.1 ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 28 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 05.00 น. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจำนวนประมาณไม่ต่ำกว่า 30 คน ได้ร่วมกันบุกเข้าโจมตีจุดตรวจกรือเซะฝั่งป้อมยามด้านสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งคั่นกลางอยู่ระหว่างป้อมยามกับมัสยิดกรือเซะ ได้วางเพลิงและทำลายทรัพย์สินของทางราชการ กรูเข้าทำร้ายและสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยอาวุธมีดและได้ปล้นยึดอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนของทางราชการไปจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบางส่วนได้หลบหนีเข้าไปทางบริเวณสวนมะพร้าวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของป้อมยาม บางส่วนได้เข้ายึดครองมัสยิดกรือเซะซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก และใช้เครื่องขยายเสียงของมัสยิดประกาศเรียกร้องให้ชาวบ้านเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อพระเจ้า และประกาศขับไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากมัสยิดพร้อมกับประกาศการพลีชีพเพื่อพระเจ้า
2.2 เวลาประมาณ 06.00 น. ทหารจำนวน 6 คนได้ใช้รถฮัมวีเดินทางไปยังมัสยิดกรือเซะ เมื่อกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเห็นเข้าก็ยิงมาที่รถ เจ้าหน้าที่จึงได้ยิงตอบโต้ด้วยปืนกลประจำรถ จากนั้นก็มีการยิงออกมาจากมัสยิดโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืน การยิงต่อสู้และปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่ในมัสยิดกรือเซะและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล้อมอยู่ข้างนอกก็ได้เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และได้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อและต่อเนื่องกันมาตลอด จนถึงเวลาประมาณ 14.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตัดสินใจดำเนินการทางยุทธวิธีขั้นเด็ดขาด โดยการใช้กองกำลังทหารจู่โจมเข้าไปในมัสยิด และใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้และสังหารผู้ก่อความไม่สงบที่เหลืออยู่
2.3 กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้ศาสนาเป็นยุทธศาสตร์ปลุกระดม เพื่อสร้างแนวร่วม ทั้งนี้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนผู้มอบตัวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กรือเซะ พบว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีหลักความเชื่ออย่างงมงาย เช่น เชื่อว่า เมื่อได้กล่าวถ้อยคำบางถ้อยคำ (ซึ่งไม่ปรากฎในคำสอนของศาสนาอิสลาม) ขณะเข้าปฏิบัติการแล้วจะทำให้เจ้าหน้าที่มองไม่เห็น และบางกลุ่มของผู้ก่อความไม่สงบได้นำทรายซึ่งได้ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ไปโรยไว้บนเส้นทางบริเวณอำเภอเทพาแห่งหนึ่ง กับบริเวณอำเภอนาทวีอีกแห่งหนึ่ง โดยเชื่อว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งกำลังมาสนับสนุนได้ เพราะจะเห็นเส้นทางดังกล่าวกลายเป็นทะเล
2.4 วิกฤตการณ์ความรุนแรงนับแต่ผู้ก่อความไม่สงบเริ่มปฏิบัติการจนถึงตอนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติเหตุการณ์ด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดนั้นกินเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 9 ชั่วโมงเศษ ยังผลให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเสียชีวิตรวม 3 คน และบาดเจ็บสาหัสรวม 8 คน ส่วนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 32 คน ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์เฉลี่ยอายุประมาณ 30 ปี โดยไม่มีผู้ใดถูกจับกุมได้เลยในวันนั้น แต่มีผู้มามอบตัวกับทางการหลังจากนั้นประมาณ 3 คน
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 สำหรับปัญหาความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้น คณะกรรมการอิสระฯ เห็นสมควรเสนอแนะมาตรการเร่งด่วนขั้นแรกมา ณ ที่นี้กล่าวคือ รัฐควรพิจารณาจ่ายเงินค่าช่วยเหลือให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตและแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่บ้านกรือเซะ ทั้งนี้ โดยอาศัยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรมเป็นหลัก อีกทั้งยังจะเป็นการสนองตอบเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายและมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินไปแล้วด้วย คณะกรรมการอิสระฯเชื่อว่าการจ่ายเงินค่าช่วยเหลือดังกล่าวน่าจะมีส่วนช่วยในการเยียวยาและสมานแผลที่เกิดจากเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และอาจเป็นก้าวหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ นอกจากนั้นแล้วมาตรการดังกล่าวน่าจะนำความพึงพอใจได้บางส่วนมาสู่บุคคล องค์การ และนานาประเทศที่กำลังจ้องมองประเทศไทยว่าจะจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ และย่อมจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นธรรมและมนุษยธรรม
3.2 รัฐบาลควรดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังได้กำหนดแผนเผชิญเหตุในสถานการณ์ฉุกเฉินให้มีความชัดเจนรัดกุม พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องมืออย่างเพียงพอตลอดจนฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-