คณะรัฐมนตรีรับทราบยุทธศาสตร์ข้าวหอมของไทยตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
กระทรวงพาณิชย์ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่องยุทธศาสตร์ข้าวหอมของไทย เพื่อระดมความเห็นและหาข้อสรุปเกี่ยวกับทิศทางการผลิต คุณภาพ และการตลาด ของข้าวหอมแต่ละชนิดที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นสำคัญ เมื่อวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2547 มีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบคุณภาพข้าว และผู้นำเกษตรกร สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้
1. ให้รักษาความเป็นเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทย (ผลิตได้ประมาณปีละ 3 ล้านกว่าตัน ข้าวสาร ส่วนใหญ่ปลูกในภาคอีสาน) ที่มีคุณภาพดีที่สุด และราคาแพงที่สุดของประเทศไทยเอาไว้ โดยดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้านการควบคุมมาตรฐานการผลิตและการส่งออกอย่างเข้มงวด ตลอดจนมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
2. กำหนดให้ข้าวปทุมธานี 1 (ผลิตได้ประมาณปีละ 9 แสนตันข้าวสาร ส่วนใหญ่ปลูกในจังหวัดทางภาคกลาง) สามารถทำการตลาดในชื่อข้าวหอมได้ เนื่องจากมีคุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย แต่ในปัจจุบันยังขาดทิศทางที่ชัดเจนในการส่งออก ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดต่างประเทศในรูปของข้าวหอม โดยมีการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานแนะนำ เพื่อยกระดับราคาข้าวชนิดนี้ให้สูงกว่าข้าวขาว แต่ต่ำกว่าข้าวหอมมะลิไทย และสามารถส่งออกไป แข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายอื่นได้ ส่วนข้าวหอมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ข้าวหอมสุพรรณบุรี และข้าวหอมจังหวัด ยังไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับข้าวปทุมธานี 1 เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตไม่มากนัก และส่วนมากเป็นการจำหน่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
3. ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการตรวจ DNA เพื่อตรวจสอบความแตกต่างระหว่างข้าวหอมมะลิไทยกับข้าวหอมชนิดอื่น ๆ แม้จะเป็นวิธีการตรวจที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระและค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการค้า และเปิดโอกาสให้ประเทศผู้นำเข้าใช้มาตรการดังกล่าวกีดกันการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยได้ด้วย
4. เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมปนข้าวหอมชนิดอื่น ๆ ในข้าวหอมมะลิไทย เห็นควรพิจารณานำระบบการจดทะเบียนเกษตรกรและโรงสี และระบบการจัดการคุณภาพ (Good Agricultural Practice: GAP หรือระบบ IP (Identity Preservation) มาใช้ในกระบวนการผลิตและการส่งออกข้าว ซึ่งจะมีการตรวจสอบทุกขั้นตอนของการเพาะปลูก โรงสี และการส่งออก รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีการผลิตข้าวหอมชนิดต่าง ๆ ดำเนินมาตรการควบคุม ดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกพันธุ์ข้าวที่ใช้ ตลอดจนการซื้อขายข้าวเปลือกภายในจังหวัด ส่วนการที่ผู้นำเข้าของประเทศต่าง ๆ จะนำไปผสมและปลอมปนอย่างไรให้เป็นเรื่องภายในของประเทศนั้น
5. กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ไปประมวลเพื่อกำหนดเป็นแนวทางด้านการผลิต และการกำหนดคุณภาพของข้าวหอมแต่ละชนิด ก่อนที่จะจัดให้มีการประชุมระดมความเห็นอีกครั้งเพื่อกำหนดแผนการตลาดข้าวหอมทุกชนิดโดยรวมต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-
กระทรวงพาณิชย์ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่องยุทธศาสตร์ข้าวหอมของไทย เพื่อระดมความเห็นและหาข้อสรุปเกี่ยวกับทิศทางการผลิต คุณภาพ และการตลาด ของข้าวหอมแต่ละชนิดที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นสำคัญ เมื่อวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2547 มีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบคุณภาพข้าว และผู้นำเกษตรกร สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้
1. ให้รักษาความเป็นเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทย (ผลิตได้ประมาณปีละ 3 ล้านกว่าตัน ข้าวสาร ส่วนใหญ่ปลูกในภาคอีสาน) ที่มีคุณภาพดีที่สุด และราคาแพงที่สุดของประเทศไทยเอาไว้ โดยดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้านการควบคุมมาตรฐานการผลิตและการส่งออกอย่างเข้มงวด ตลอดจนมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
2. กำหนดให้ข้าวปทุมธานี 1 (ผลิตได้ประมาณปีละ 9 แสนตันข้าวสาร ส่วนใหญ่ปลูกในจังหวัดทางภาคกลาง) สามารถทำการตลาดในชื่อข้าวหอมได้ เนื่องจากมีคุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย แต่ในปัจจุบันยังขาดทิศทางที่ชัดเจนในการส่งออก ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดต่างประเทศในรูปของข้าวหอม โดยมีการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานแนะนำ เพื่อยกระดับราคาข้าวชนิดนี้ให้สูงกว่าข้าวขาว แต่ต่ำกว่าข้าวหอมมะลิไทย และสามารถส่งออกไป แข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายอื่นได้ ส่วนข้าวหอมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ข้าวหอมสุพรรณบุรี และข้าวหอมจังหวัด ยังไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับข้าวปทุมธานี 1 เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตไม่มากนัก และส่วนมากเป็นการจำหน่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
3. ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการตรวจ DNA เพื่อตรวจสอบความแตกต่างระหว่างข้าวหอมมะลิไทยกับข้าวหอมชนิดอื่น ๆ แม้จะเป็นวิธีการตรวจที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระและค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการค้า และเปิดโอกาสให้ประเทศผู้นำเข้าใช้มาตรการดังกล่าวกีดกันการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยได้ด้วย
4. เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมปนข้าวหอมชนิดอื่น ๆ ในข้าวหอมมะลิไทย เห็นควรพิจารณานำระบบการจดทะเบียนเกษตรกรและโรงสี และระบบการจัดการคุณภาพ (Good Agricultural Practice: GAP หรือระบบ IP (Identity Preservation) มาใช้ในกระบวนการผลิตและการส่งออกข้าว ซึ่งจะมีการตรวจสอบทุกขั้นตอนของการเพาะปลูก โรงสี และการส่งออก รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีการผลิตข้าวหอมชนิดต่าง ๆ ดำเนินมาตรการควบคุม ดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกพันธุ์ข้าวที่ใช้ ตลอดจนการซื้อขายข้าวเปลือกภายในจังหวัด ส่วนการที่ผู้นำเข้าของประเทศต่าง ๆ จะนำไปผสมและปลอมปนอย่างไรให้เป็นเรื่องภายในของประเทศนั้น
5. กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ไปประมวลเพื่อกำหนดเป็นแนวทางด้านการผลิต และการกำหนดคุณภาพของข้าวหอมแต่ละชนิด ก่อนที่จะจัดให้มีการประชุมระดมความเห็นอีกครั้งเพื่อกำหนดแผนการตลาดข้าวหอมทุกชนิดโดยรวมต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-