คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล พ.ศ. …. ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งร่างกฎ ก.พ. เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลออกจากราชการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล
สำนักงาน ก.พ. เสนอรายงานว่า เนื่องจากได้มีการปรับปรุงการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีจากเลื่อนปีละ 1 ครั้ง เป็นเลื่อนปีละ 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 1 เมษายน และวันที่ 1 ตุลาคม ทำให้หลักเกณฑ์ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการ สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และเพื่อรองรับมาตรการที่ 3 มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการตามนโยบายรัฐบาล จึงได้เสนอหลักการและแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ดังนี้
1. หลักการ
1) ทรัพยากรบุคคลถือเป็นทุน ซึ่งต้องได้รับการบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผลขององค์กร
2) ทางราชการจะต้องเปิดโอกาสให้ข้าราชการได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตนเองก่อนที่จะดำเนินการสั่งให้ออกจากราชการ
3) การสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการตามกฎ ก.พ. นี้ ไม่ถือเป็นเรื่องผิดวินัยหรือมีความผิด จึงได้รับค่าตอบแทนเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญเหตุทดแทน ซึ่งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของผู้ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการได้ในระดับหนึ่ง
2. การปรับปรุง
1) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ข้าราชการที่อยู่ในข่ายจะต้องดำเนินการตามกฎ ก.พ.นี้ จากเดิมเป็นข้าราชการที่มีผลการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรให้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตนเอง
2) ระยะเวลาในการพัฒนา/ปรับปรุงตนเองให้ข้าราชการได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ส่วนราชการกำหนดเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยจะพิจารณาจากผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน ว่าควรจะให้มีการพัฒนาหรือปรับปรุงตัวในด้านใดบ้าง
3) จัดทำคำรับรองการปฏิบัติงาน ให้ผู้บังคับบัญชาและข้าราชการที่ต้องได้รับการพัฒนาจัดทำคำรับรองการปฏิบัติงานโดยกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาและการปฏิบัติงานเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผลต่อไป
4) การประเมินผล ให้ผู้บังคับบัญชาประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติงานอีกหนึ่งครั้ง หากมีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ตามคำรับรอง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาเสนอผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ เพื่อให้ระบบการประเมินผล การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส เป็นธรรม ควรให้มีการกลั่นกรองโดยองค์คณะ เช่น อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง แล้วแต่กรณี หรือแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็น
5) การร้องทุกข์ ให้ข้าราชการที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 114 (6) มีสิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.พ. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งตามมาตรา 129 ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ ก.พ. ได้มีมีติเห็นชอบหลักการและแนวทางดังกล่าวและให้ยกร่างกฎ ก.พ. ฉบับนี้เสนอ อ.ก.พ. วิสามัญ เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการพิจารณา ซึ่ง อ.ก.พ. พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบ และได้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-
สำนักงาน ก.พ. เสนอรายงานว่า เนื่องจากได้มีการปรับปรุงการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีจากเลื่อนปีละ 1 ครั้ง เป็นเลื่อนปีละ 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 1 เมษายน และวันที่ 1 ตุลาคม ทำให้หลักเกณฑ์ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการ สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และเพื่อรองรับมาตรการที่ 3 มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการตามนโยบายรัฐบาล จึงได้เสนอหลักการและแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ดังนี้
1. หลักการ
1) ทรัพยากรบุคคลถือเป็นทุน ซึ่งต้องได้รับการบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผลขององค์กร
2) ทางราชการจะต้องเปิดโอกาสให้ข้าราชการได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตนเองก่อนที่จะดำเนินการสั่งให้ออกจากราชการ
3) การสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการตามกฎ ก.พ. นี้ ไม่ถือเป็นเรื่องผิดวินัยหรือมีความผิด จึงได้รับค่าตอบแทนเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญเหตุทดแทน ซึ่งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของผู้ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการได้ในระดับหนึ่ง
2. การปรับปรุง
1) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ข้าราชการที่อยู่ในข่ายจะต้องดำเนินการตามกฎ ก.พ.นี้ จากเดิมเป็นข้าราชการที่มีผลการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรให้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตนเอง
2) ระยะเวลาในการพัฒนา/ปรับปรุงตนเองให้ข้าราชการได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ส่วนราชการกำหนดเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยจะพิจารณาจากผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน ว่าควรจะให้มีการพัฒนาหรือปรับปรุงตัวในด้านใดบ้าง
3) จัดทำคำรับรองการปฏิบัติงาน ให้ผู้บังคับบัญชาและข้าราชการที่ต้องได้รับการพัฒนาจัดทำคำรับรองการปฏิบัติงานโดยกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาและการปฏิบัติงานเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผลต่อไป
4) การประเมินผล ให้ผู้บังคับบัญชาประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติงานอีกหนึ่งครั้ง หากมีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ตามคำรับรอง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาเสนอผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ เพื่อให้ระบบการประเมินผล การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส เป็นธรรม ควรให้มีการกลั่นกรองโดยองค์คณะ เช่น อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง แล้วแต่กรณี หรือแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็น
5) การร้องทุกข์ ให้ข้าราชการที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 114 (6) มีสิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.พ. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งตามมาตรา 129 ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ ก.พ. ได้มีมีติเห็นชอบหลักการและแนวทางดังกล่าวและให้ยกร่างกฎ ก.พ. ฉบับนี้เสนอ อ.ก.พ. วิสามัญ เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการพิจารณา ซึ่ง อ.ก.พ. พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบ และได้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-