คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. ให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการก่อความไม่สงบรายละ 500,000 บาท จากเงินของโครงการเพื่อการสาธารณะประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ โดยไม่ต้องทำการประกันภัยเช่นเดียวกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนที่ได้ดำเนินการไแล้ว
2. ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ทำประกันภัยและได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ในกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพถาวรแล้ว ได้รับความช่วยเหลือจากการประกันอย่างเดียว โดยยกเลิกการจ่ายเงินช่วยเหลือจากเงินรายได้ของโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ แต่สำหรับกรณีที่ได้รับบาดเจ็บและไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ยังคงให้ได้รับความช่วยเหลือจากเงินรายได้ของโครงการฯ ดังกล่าว รายละ 50,000 บาท ต่อไป
3. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาเพิ่มเติมในภาพรวมร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยว่า นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมตลอดถึงทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน และผู้ใหญ่บ้านที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในข้อ 1,2 รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่บุคคลเหล่านี้ได้รับอยู่แล้วในปัจจุบัน ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นใด กรณีใด ที่บุคคลเหล่านี้ สมควรได้รับเพิ่มเติมให้ครบถ้วน เหมาะสม มากยิ่งขึ้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป
กระทรวงการคลังได้เสนอรายงานว่าการประกันอุบัติเหตุสำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นั้น สมาคมประกันวินาศภัยมีข้อเสนอแยกต่างหากจากข้าราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 และ วันที่ 11 พฤษภาคม 2547 คือ กำหนดเบี้ยประกัน เป็นเงิน 3,500 บาท/คน/ปี เนื่องจากลักษณะงานมีความแตกต่างกัน และวงเงินการประกันภัย มีจำนวนประมาณ 90,000,000 บาท นอกจากนี้บริษัทประกันภัยได้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ จะรับผิดในความเสียหายรวมไม่เกินร้อยละ 150 ของเบี้ยประกันภัยรับรวมตลอดระยะเวลาการประกันภัยหนึ่งปี และหากการรับประกันมีกำไร บริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่หน่วยงานที่จ่ายเบี้ยประกันร้อยละ 50 ของกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นเช่นเดียวกับการประกันภัยข้าราชการทั่วไป คือ
1. ให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุ ในวงเงิน 500,000 บาท และขยายความคุ้มครองถึงภัยสงคราม การก่อการร้าย
2. หน่วยราชการต้องยึดถือรายชื่อผู้เอาประกันไว้ โดยบริษัทประกันจะไม่ออกใบรับรองการประกันภัยให้แต่ละราย เนื่องจากเป็นการประกันภัยกลุ่มและหน่วยราชการจะต้องมีหนังสือรับรอง การปฏิบัติงานในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
3. การเริ่มต้นและสิ้นสุดความคุ้มครองกรณีที่มีการโยกย้ายหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องมีการแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้บริหารโครงการทราบ โดยวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุด จะถือวันที่มีผลให้โยกย้ายตามหนังสือของหน่วยราชการ สำหรับการคุ้มครองผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทน จะมีเท่าที่ระยะเวลาการเอาประกันภัยที่มีเหลืออยู่
4. ผู้ที่มีการประกันอุบัติเหตุเอื้ออาทรอยู่ก่อนแล้วจะคืนเบี้ยประกันให้โดยหักเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยนั้นได้ให้ความคุ้มครองมาแล้วออกตามส่วน และให้ยึดถือความคุ้มครองนี้เพียงอย่างเดียว
กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับการประกันภัยข้าราชการ และลูกจ้างประจำ คือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ความช่วยเหลือรายละ 500,000 บาท กรณีได้รับบาดเจ็บที่ไม่ถึงกับทุพพลภาพถาวร ให้ความช่วยเหลือรายละ 50,000 บาท แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องภารกิจของผู้ปฏิบัติงานของทางราชการกลุ่มนี้ อาจมีภารกิจลับที่ต้องกระทำอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถแจ้งชื่อผู้ปฏิบัติงานในท้องที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ได้ครบถ้วนแก่บริษัทประกันภัยได้ นอกจากนี้หากทำประกันภัยรัฐบาลจะต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตประมาณ 90 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับถ้ามีผู้ปฏิบัติงานกลุ่มนี้ตายหรือทุพพลภาพถาวร 180 คน จะคุ้มทุน ซึ่งโอกาสที่จะมีข้าราชการทหาร ตำรวจกลุ่มนี้ เสียชีวิตถึง 180 คน มีน้อยมาก เพราะมีระบบป้องกันและระวังตนสูงอยู่แล้ว เห็นสมควรให้ใช้วิธีประกันภัยตนเอง ซึ่งจะเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วกว่า จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 กันยายน 2547--จบ--
-กภ-
1. ให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการก่อความไม่สงบรายละ 500,000 บาท จากเงินของโครงการเพื่อการสาธารณะประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ โดยไม่ต้องทำการประกันภัยเช่นเดียวกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนที่ได้ดำเนินการไแล้ว
2. ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ทำประกันภัยและได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ในกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพถาวรแล้ว ได้รับความช่วยเหลือจากการประกันอย่างเดียว โดยยกเลิกการจ่ายเงินช่วยเหลือจากเงินรายได้ของโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้โดยการออกสลากพิเศษ แต่สำหรับกรณีที่ได้รับบาดเจ็บและไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ยังคงให้ได้รับความช่วยเหลือจากเงินรายได้ของโครงการฯ ดังกล่าว รายละ 50,000 บาท ต่อไป
3. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาเพิ่มเติมในภาพรวมร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยว่า นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมตลอดถึงทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน และผู้ใหญ่บ้านที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในข้อ 1,2 รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่บุคคลเหล่านี้ได้รับอยู่แล้วในปัจจุบัน ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นใด กรณีใด ที่บุคคลเหล่านี้ สมควรได้รับเพิ่มเติมให้ครบถ้วน เหมาะสม มากยิ่งขึ้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป
กระทรวงการคลังได้เสนอรายงานว่าการประกันอุบัติเหตุสำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นั้น สมาคมประกันวินาศภัยมีข้อเสนอแยกต่างหากจากข้าราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 และ วันที่ 11 พฤษภาคม 2547 คือ กำหนดเบี้ยประกัน เป็นเงิน 3,500 บาท/คน/ปี เนื่องจากลักษณะงานมีความแตกต่างกัน และวงเงินการประกันภัย มีจำนวนประมาณ 90,000,000 บาท นอกจากนี้บริษัทประกันภัยได้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ จะรับผิดในความเสียหายรวมไม่เกินร้อยละ 150 ของเบี้ยประกันภัยรับรวมตลอดระยะเวลาการประกันภัยหนึ่งปี และหากการรับประกันมีกำไร บริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่หน่วยงานที่จ่ายเบี้ยประกันร้อยละ 50 ของกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นเช่นเดียวกับการประกันภัยข้าราชการทั่วไป คือ
1. ให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุ ในวงเงิน 500,000 บาท และขยายความคุ้มครองถึงภัยสงคราม การก่อการร้าย
2. หน่วยราชการต้องยึดถือรายชื่อผู้เอาประกันไว้ โดยบริษัทประกันจะไม่ออกใบรับรองการประกันภัยให้แต่ละราย เนื่องจากเป็นการประกันภัยกลุ่มและหน่วยราชการจะต้องมีหนังสือรับรอง การปฏิบัติงานในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
3. การเริ่มต้นและสิ้นสุดความคุ้มครองกรณีที่มีการโยกย้ายหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องมีการแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้บริหารโครงการทราบ โดยวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุด จะถือวันที่มีผลให้โยกย้ายตามหนังสือของหน่วยราชการ สำหรับการคุ้มครองผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทน จะมีเท่าที่ระยะเวลาการเอาประกันภัยที่มีเหลืออยู่
4. ผู้ที่มีการประกันอุบัติเหตุเอื้ออาทรอยู่ก่อนแล้วจะคืนเบี้ยประกันให้โดยหักเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยนั้นได้ให้ความคุ้มครองมาแล้วออกตามส่วน และให้ยึดถือความคุ้มครองนี้เพียงอย่างเดียว
กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับการประกันภัยข้าราชการ และลูกจ้างประจำ คือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ความช่วยเหลือรายละ 500,000 บาท กรณีได้รับบาดเจ็บที่ไม่ถึงกับทุพพลภาพถาวร ให้ความช่วยเหลือรายละ 50,000 บาท แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องภารกิจของผู้ปฏิบัติงานของทางราชการกลุ่มนี้ อาจมีภารกิจลับที่ต้องกระทำอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถแจ้งชื่อผู้ปฏิบัติงานในท้องที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ได้ครบถ้วนแก่บริษัทประกันภัยได้ นอกจากนี้หากทำประกันภัยรัฐบาลจะต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตประมาณ 90 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับถ้ามีผู้ปฏิบัติงานกลุ่มนี้ตายหรือทุพพลภาพถาวร 180 คน จะคุ้มทุน ซึ่งโอกาสที่จะมีข้าราชการทหาร ตำรวจกลุ่มนี้ เสียชีวิตถึง 180 คน มีน้อยมาก เพราะมีระบบป้องกันและระวังตนสูงอยู่แล้ว เห็นสมควรให้ใช้วิธีประกันภัยตนเอง ซึ่งจะเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วกว่า จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 กันยายน 2547--จบ--
-กภ-