คณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
2. อนุมัติในหลักการ
2.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และ
2.3 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ด้วยรัฐบาลมีนโยบายที่จะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งมาตรการที่หนึ่งที่กระทรวงการคลังรับมาดำเนินการ คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางครอบครัว และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายข้างต้น ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมในสังคมให้มากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังจึงขอเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. หลักการ
1.1 การยกเว้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมที่ยกเว้นในวงเงิน 80,000 บาทแรก ให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บาทแรก ทั้งนี้ให้มีผลบังคับสำหับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
1.2 การปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการที่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท จากเดิมที่จัดเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก จัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 กำไรสุทธิในส่วนเกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 และกำไรสุทธิในส่วน ที่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 โดยปรับลดอัตราภาษีของกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก เป็นจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15 และสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เหลือ ให้คงจัดเก็บในอัตราเดิม ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
1.3 การขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับสำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป
1.4 การปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา จากเดิมที่กำหนดให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน (ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท ต่อบิดามารดา 1 คน
2. แนวทางการปรับปรุงกฎหมาย
เพื่อให้เป็นไปตามหลักการข้างต้น กระทรวงการคลังจะต้องมีการดำเนินการ ดังนี้
2.1 กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าลดหย่อน สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.2 กรณีการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราช-กฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.3 กรณีการขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษี มูลค่าเพิ่ม สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนด มูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.4 กรณีการปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา กระทรวงการคลังได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และเนื่องจากการปรับเพิ่มการหักค่าลดหย่อนเป็น 30,000 บาท ต่อบิดามารดา 1 คน ยังอยู่ภายใต้หลักการเดิม จึงสามารถดำเนินการได้โดยการแปรญัตติของคณะกรรมการวิสามัญฯ
3. การวิเคราะห์ผลกระทบ
การดำเนินการตามมาตรการข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบดังนี้
3.1 เป็นการจูงใจให้มีการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาให้มากยิ่งขึ้น และช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับผู้ มีรายได้น้อยถึงปานกลาง และผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น อันจะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศและก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
3.2 ในส่วนผลกระทบรายได้ภาครัฐ คาดว่ามาตรการภาษีที่นำเสนอ จะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากร ประมาณปีละ 8,200 ล้านบาท อย่างไรก็ดี การดำเนินมาตรการภาษีข้างต้นจะช่วยเสริมรากฐานของระบบเศรษฐกิจโดยรวม อันจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาวต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 ตุลาคม 2547--จบ--
-กภ-
1. เห็นชอบในหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
2. อนุมัติในหลักการ
2.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และ
2.3 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ด้วยรัฐบาลมีนโยบายที่จะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งมาตรการที่หนึ่งที่กระทรวงการคลังรับมาดำเนินการ คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางครอบครัว และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายข้างต้น ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมในสังคมให้มากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังจึงขอเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. หลักการ
1.1 การยกเว้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมที่ยกเว้นในวงเงิน 80,000 บาทแรก ให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บาทแรก ทั้งนี้ให้มีผลบังคับสำหับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
1.2 การปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการที่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท จากเดิมที่จัดเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก จัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 กำไรสุทธิในส่วนเกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 และกำไรสุทธิในส่วน ที่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 โดยปรับลดอัตราภาษีของกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก เป็นจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15 และสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เหลือ ให้คงจัดเก็บในอัตราเดิม ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
1.3 การขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับสำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป
1.4 การปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา จากเดิมที่กำหนดให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน (ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท ต่อบิดามารดา 1 คน
2. แนวทางการปรับปรุงกฎหมาย
เพื่อให้เป็นไปตามหลักการข้างต้น กระทรวงการคลังจะต้องมีการดำเนินการ ดังนี้
2.1 กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าลดหย่อน สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.2 กรณีการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราช-กฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.3 กรณีการขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษี มูลค่าเพิ่ม สามารถดำเนินการได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนด มูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2.4 กรณีการปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา กระทรวงการคลังได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และเนื่องจากการปรับเพิ่มการหักค่าลดหย่อนเป็น 30,000 บาท ต่อบิดามารดา 1 คน ยังอยู่ภายใต้หลักการเดิม จึงสามารถดำเนินการได้โดยการแปรญัตติของคณะกรรมการวิสามัญฯ
3. การวิเคราะห์ผลกระทบ
การดำเนินการตามมาตรการข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบดังนี้
3.1 เป็นการจูงใจให้มีการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาให้มากยิ่งขึ้น และช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับผู้ มีรายได้น้อยถึงปานกลาง และผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น อันจะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศและก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
3.2 ในส่วนผลกระทบรายได้ภาครัฐ คาดว่ามาตรการภาษีที่นำเสนอ จะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากร ประมาณปีละ 8,200 ล้านบาท อย่างไรก็ดี การดำเนินมาตรการภาษีข้างต้นจะช่วยเสริมรากฐานของระบบเศรษฐกิจโดยรวม อันจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาวต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 ตุลาคม 2547--จบ--
-กภ-