มาตรการการคลังและการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 9, 2013 11:01 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง มาตรการการคลังและการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถ

ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร จำนวน 3 ฉบับ เพื่อขยายระยะเวลามาตรการภาษีในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การหักค่าเสื่อมเครื่องจักร และช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 จากสิ้นสุดที่ 31 ธันวาคม 2555 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556

2. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ จำนวน 1 ฉบับ เพื่อลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล

3. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... จำนวน 1 ฉบับ เพื่อปรับเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท

4. เห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหารในการฝึกอบรมของส่วนราชการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและสภาวการณ์ปัจจุบัน

5. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณสำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5

6. เห็นชอบการขยายระยะเวลา หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) ของ ธพว. และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up)

สาระสำคัญ

กระทรวงการคลังได้พิจารณามาตรการการคลังและการเงิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ไทย ดังนี้

1. มาตรการการคลัง

1) มาตรการภาษี

(1) ให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเดิมเพื่อบรรเทาผลกระทบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ไปอีก 1 ปี จากสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ดังนี้

(1.1) การหักค่าใช้จ่ายส่วนต่างค่าแรงขั้นต่ำเดิมและค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ได้ 1.5 เท่า ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 553) พ.ศ. 2555

(1.2) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้จากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 551) พ.ศ. 2555

(1.3) ให้สามารถหักค่าเสื่อมเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ 100 ในปีแรกแทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน 5 ปี ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 552) พ.ศ. 2555

(2) ปรับเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท เพื่อลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SMEs ที่มีรายได้น้อย และปรับโครงสร้างอัตราภาษีของ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลให้เท่าเทียมกัน โดยปรับเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ 150,000 บาทแรก เป็น 300,000 บาทแรก เพื่อให้สอดคล้องกับภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดาที่ปรับลดลง สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป

2) มาตรการรายจ่าย

กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารและค่าเช่าที่พักในการฝึกอบรมของส่วนราชการให้เหมาะสมกับค่าครองชีพและสภาวการณ์ปัจจุบัน

2. มาตรการการเงิน

(1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 5

กระทรวงการคลังได้จัดทำโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 สำหรับปี 2556 ซึ่งต่อเนื่องจากระยะที่ 4 เนื่องจากปัจจุบันเต็มวงเงินแล้วเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยมีสาระสำคัญของโครงการ สรุปได้ ดังนี้

(1.1) วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลื่อ SMEs ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและต้องการสินเชื่อแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

(1.2) คุณสมบัติของ SMEs ผู้เข้าร่วมโครงการ

1) เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่มีสัญชาติไทย

2) มีสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท

3) ประกอบกิจการโดยชอบด้วยกฎหมาย และต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี

4) ได้รับสินเชื่อใหม่และจะต้องไม่นำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้

(1.3) เงื่อนไขการค้ำประกัน

1) วงเงินค้ำประกันรวม 3 ปี จำนวน 240,000 ล้านบาท

2) วงเงินค้ำประกันต่อรายต่อสถาบันการเงิน สูงสุด 40 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบัน

3) ระยะเวลาโครงการในแต่ละ Portfolio มีระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 7 ปี

4) ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันร้อยละ 1.75 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อตลอดอายุค้ำประกัน 7 ปี

5) ระยะเวลารับคำขอการค้ำประกันจาก บสย. ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 จนสิ้นสุดรับคำขอภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดยในแต่ละปีถือเป็น 1 Portfolio (รวมเป็น 3 Portfolio)

(1.4) เงื่อนไขการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงิน

บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยสะสมให้กับสถาบันการเงินสูงสุดในกรณี Portfolio ปกติ ไม่เกินร้อยละ 18 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 7 ปี ส่วนกรณี Portfolio แบบไม่มีหลักประกันและ NPL บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยสะสมให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกิน ร้อยละ 14 ของภาระค้ำประกัน

(1.5) งบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุน

รัฐบาลชดเชยความเสียหายการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ 5 ให้กับ บสย. คิดเป็นวงเงินไม่เกิน 13,800 ล้านบาท (โดยคำนวณจาก 18% - ( 1.75% * 7 ปี) เท่ากับ 5.75 % คูณวงเงิน 240,000 ล้านบาท ) ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 มาตรการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการผ่านกลไกค้ำประกันของ บสย. ภายใต้มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จำนวน 23,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีวงเงินงบประมาณคงเหลือจำนวน 16,100 ล้านบาท โดยในรายละเอียดให้ตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan)

ธนาคารพัฒนาวิสหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 ประกอบด้วย (1) สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรเพื่อช่วยเหลือ SMEs ขนาดย่อมในภาคการผลิตที่มีโรงงานที่ประกอบกิจการถูกต้องตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ในการซื้อและการปรับปรุงเครื่องจักรและ (2) สินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน เพื่อช่วยเหลือ SMEs ขนาดย่อมในทุกภาคธุรกิจในการนำไปลงทุน ขยาย ปรับปรุง หรือพัฒนากิจการด้านต่าง ๆ ในวงเงินรวม 2 โครงการที่ 20,000 ล้านบาท โดยขอขยายระยะเวลาโครงการจากเดิม สิ้นสุดการอนุมัติสินเชื่อภายใน 2 ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ คือวันที่ 24 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 23 เมษายน 2557 เป็นสิ้นสุดการขอรับสินเชื่อจาก ธพว. ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ทั้งนี้ ให้ ธพว. พิจารณาสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ปิดรับคำขอ สำหรับเงื่อนไขอื่น ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555

(3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up)

คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 และวันที่ 4 กันยายน 2555 เพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SMEs ที่เริ่มประกอบธุรกิจใหม่ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากระบบสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งมีวงเงินค้ำประกันรวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท โดยขอปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข และขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

3.1) ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการรับคำขอค้ำประกัน ออกไปอีก 3 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เป็นสิ้นสุดการขอรับสินเชื่อในวันที่ 31 ธันวาคม 2558

3.2) ปรับเกณฑ์คุณสมบัติ SMEs จาก SMEs ที่ประกอบกิจการที่มีอายุกิจการไม่เกิน 2 ปี โดยพิจารณาจากการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือการจดทะเบียนการค้า หรือเอกสารราชการเป็น SMEs ที่ประกอบกิจการ ที่มีอายุกิจการไม่เกิน 3 ปี โดยพิจารณาจากการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือการจดทะเบียนการค้า หรือเอกสารราชการ หรือเอกสารอื่นใดที่ บสย. เห็นชอบ

3.3) เปลี่ยนแปลงการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระแทน SMEs ในปีแรก จากอัตราร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 2.50 เพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งนี้ ให้อยู่ภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่เคยได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 มกราคม 2556--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ