คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความก้าวหน้าการสร้างงานและอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครั้งที่ 5) ซึ่งเป็นผลการปฏิบัติงานในช่วงเดือนกันยายน 2547 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้และการสร้างรายได้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายผลผลิตผลไม้อย่างมากโดยเฉพาะจังหวัดยะลาและนราธิวาส เนื่องจากไม่มีผู้รับซื้อหรือพ่อค้าทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดเข้าไปรับซื้อในพื้นที่เหมือนในภาวะปกติ ส่งผลให้ผลผลิตผลไม้มีราคาตกต่ำลงอย่างมาก กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน เพื่อดึงราคาลองกอง เงาะ ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่สร้างรายได้แก่ประชาชนใน 3 จังหวัด ดังนี้
1.1 โครงการแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ลองกอง เงาะ ทุเรียน โดยได้เสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และได้รับอนุมัติเงินงบประมาณช่วยเหลือแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำให้เกษตรกรในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดละ 10 ล้านบาท รวม 30 ล้านบาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2547 เป็นต้นมา เปิดจุดรวบรวมรับซื้อลองกอง เงาะ และทุเรียน ใน 3 จังหวัดจากเกษตรกร ให้มีราคานำตลาดไม่น้อยกว่า กก.ละ 2 บาท สำหรับลองกอง และ กก.ละ 0.50 บาท สำหรับทุเรียน
ผลจากการดำเนินโครงการแก้ไขผลไม้ตกต่ำ สามารถช่วยให้ราคาซื้อขายผลผลิตผลไม้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีราคาสูงขึ้น ดังนี้
(1) ราคาลองกอง (ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) จากเดิมการซื้อขายทั่วไปราคากิโลกรัมละ 10-25 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 20-35 บาท ราคาสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 57
(2) ราคาทุเรียน (ยะลา) จากเดิมมีการซื้อขายทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 9-10 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 13 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.5
(3) ราคาเงาะ (นราธิวาส) จากเดิมมีการซื้อขายทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 6.50 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5
นอกจากนี้ การช่วยเหลือรับซื้อสินค้าผลไม้ของ 3 จังหวัดภาคใต้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้จังหวัดละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนรับซื้อผลไม้ด้วย ยังความปลาบปลื้มให้แก่เกษตรกรอย่างยิ่ง ขณะนี้ผลไม้ของทั้ง 3 จังหวัดภาคใต้ คือ เงาะ และทุเรียน ออกสู่ตลาดเกือบ 100% ส่วนลองกองออกสู่ตลาดประมาณ 80% แล้ว
1.2 นำกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่นมาจำหน่ายสินค้า เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนโดยการนำกลุ่มผู้ผลิตสินค้า OTOP ของทั้ง 3 จังหวัด จำนวน 8 กลุ่ม หมุนเวียนมาจำหน่ายสินค้าที่ห้างโลตัส และห้างแม็คโคร อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนำสินค้าประเภทไวน์ผลไม้/สมุนไพร อาหารทะเลแปรรูป ยาสีฟันสมุนไพร ข้าวเกรียบ น้ำบูดู ผลิตภัณฑ์จากใบยางพารา/เกล็ดปลา กระเป๋าจักสาน มูลค่าการจำหน่ายระหว่างวันที่ 1-15 กันยายน 2547 จำนวน 82,452 บาท รวมยอดจากการจำหน่ายสะสม (ตั้งแต่กุมภาพันธ์ - 15 กันยายน 2547) จำนวน 801,545 บาท
1.3 จัดสัมมนาผู้บริหารร้านค้าชุมชน/ผู้ริเริ่มจัดตั้งร้านค้าชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนในรูปสินค้าให้ร้านค้าที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 17 ร้านค้า วงเงิน 960,000 บาท และได้อนุมัติการจัดตั้งร้านค้าแล้ว จำนวน 2 ร้าน ได้แก่ ร้านค้าชุมชนบ้านสันติสุข วงเงิน 50,000 บาท และร้านค้าชุมชนบ้านกือแล วงเงิน 40,000 บาท อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ร้านค้าชุมชน และประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านและตำบลห่างไกลให้สามารถหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้ง่ายและราคายุติธรรม
2. การช่วยเหลือด้านค่าครองชีพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
2.1 จัด "มหกรรมสินค้าเพื่อไทยใต้" จำหน่ายสินค้าราคาถูกครั้งแรกที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2547 และสร้างความพอใจให้กับประชาชนเนื่องจากสอดคล้องความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก และประชาชนได้เรียกร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือโดยการจัดหาสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายให้ประชาชนทั้ง 3 จังหวัด ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดอย่างทั่วถึงด้วย
2.2 "โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่สู่ชุมชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยร่วมมือกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดส่งสินค้าจำเป็นแก่การครองชีพ ได้แก่ ข้าวสาร น้ำตาลทราย โดยจำหน่ายราคาถูกให้ทุกอำเภอใน 3 จังหวัด รวมทั้งหมด 33 อำเภอ ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและอยู่ห่างไกลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า 16,500 ครอบครัว
3. การสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ
3.1 "โครงการอาสาพัฒนาพาณิชย์ไทยใต้" สร้างเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและปฏิบัติงานเพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดภาคใต้ และเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของกระทรวงพาณิชย์สู่ภาคประชาชน รวมทั้งเป็นสื่อกลางความต้องการของประชาชนในพื้นที่มายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การช่วยเหลือตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนสนับสนุนพัฒนาให้อาสาสมัครมีความรู้ความเข้าใจวิธีการการค้าขายเพื่อนำไปใช้ในการสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
3.2 "โครงการนำคณะผู้แทนการค้าจากจังหวัดภาคใต้เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน" ระหว่างวันที่ 14-24 ตุลาคม 2547 เพื่อศึกษาและพบปะเจรจาขยายตลาดการค้ากับนักธุรกิจมุสลิมในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพสูง รวมทั้ง ประชากรที่เป็นมุสลิมประมาณ 24.4 ล้านคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ทั้งนี้ ก่อนการเดินทางไปสู่จีนผู้แทนการค้าจาก 3 จังหวัดภาคใต้ดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก นำผู้นำชุมชนชาวมุสลิมและคณะทำงานเฉพาะกิจตัวแทนจากภาคประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและขอคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับผลการเดินทางจะได้นำเรียนคณะรัฐมนตรีในคราวต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-
1. การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้และการสร้างรายได้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายผลผลิตผลไม้อย่างมากโดยเฉพาะจังหวัดยะลาและนราธิวาส เนื่องจากไม่มีผู้รับซื้อหรือพ่อค้าทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดเข้าไปรับซื้อในพื้นที่เหมือนในภาวะปกติ ส่งผลให้ผลผลิตผลไม้มีราคาตกต่ำลงอย่างมาก กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน เพื่อดึงราคาลองกอง เงาะ ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่สร้างรายได้แก่ประชาชนใน 3 จังหวัด ดังนี้
1.1 โครงการแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ลองกอง เงาะ ทุเรียน โดยได้เสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และได้รับอนุมัติเงินงบประมาณช่วยเหลือแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำให้เกษตรกรในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดละ 10 ล้านบาท รวม 30 ล้านบาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2547 เป็นต้นมา เปิดจุดรวบรวมรับซื้อลองกอง เงาะ และทุเรียน ใน 3 จังหวัดจากเกษตรกร ให้มีราคานำตลาดไม่น้อยกว่า กก.ละ 2 บาท สำหรับลองกอง และ กก.ละ 0.50 บาท สำหรับทุเรียน
ผลจากการดำเนินโครงการแก้ไขผลไม้ตกต่ำ สามารถช่วยให้ราคาซื้อขายผลผลิตผลไม้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีราคาสูงขึ้น ดังนี้
(1) ราคาลองกอง (ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) จากเดิมการซื้อขายทั่วไปราคากิโลกรัมละ 10-25 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 20-35 บาท ราคาสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 57
(2) ราคาทุเรียน (ยะลา) จากเดิมมีการซื้อขายทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 9-10 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 13 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.5
(3) ราคาเงาะ (นราธิวาส) จากเดิมมีการซื้อขายทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 6.50 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5
นอกจากนี้ การช่วยเหลือรับซื้อสินค้าผลไม้ของ 3 จังหวัดภาคใต้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้จังหวัดละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนรับซื้อผลไม้ด้วย ยังความปลาบปลื้มให้แก่เกษตรกรอย่างยิ่ง ขณะนี้ผลไม้ของทั้ง 3 จังหวัดภาคใต้ คือ เงาะ และทุเรียน ออกสู่ตลาดเกือบ 100% ส่วนลองกองออกสู่ตลาดประมาณ 80% แล้ว
1.2 นำกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่นมาจำหน่ายสินค้า เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนโดยการนำกลุ่มผู้ผลิตสินค้า OTOP ของทั้ง 3 จังหวัด จำนวน 8 กลุ่ม หมุนเวียนมาจำหน่ายสินค้าที่ห้างโลตัส และห้างแม็คโคร อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนำสินค้าประเภทไวน์ผลไม้/สมุนไพร อาหารทะเลแปรรูป ยาสีฟันสมุนไพร ข้าวเกรียบ น้ำบูดู ผลิตภัณฑ์จากใบยางพารา/เกล็ดปลา กระเป๋าจักสาน มูลค่าการจำหน่ายระหว่างวันที่ 1-15 กันยายน 2547 จำนวน 82,452 บาท รวมยอดจากการจำหน่ายสะสม (ตั้งแต่กุมภาพันธ์ - 15 กันยายน 2547) จำนวน 801,545 บาท
1.3 จัดสัมมนาผู้บริหารร้านค้าชุมชน/ผู้ริเริ่มจัดตั้งร้านค้าชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนในรูปสินค้าให้ร้านค้าที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 17 ร้านค้า วงเงิน 960,000 บาท และได้อนุมัติการจัดตั้งร้านค้าแล้ว จำนวน 2 ร้าน ได้แก่ ร้านค้าชุมชนบ้านสันติสุข วงเงิน 50,000 บาท และร้านค้าชุมชนบ้านกือแล วงเงิน 40,000 บาท อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ร้านค้าชุมชน และประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านและตำบลห่างไกลให้สามารถหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้ง่ายและราคายุติธรรม
2. การช่วยเหลือด้านค่าครองชีพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
2.1 จัด "มหกรรมสินค้าเพื่อไทยใต้" จำหน่ายสินค้าราคาถูกครั้งแรกที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2547 และสร้างความพอใจให้กับประชาชนเนื่องจากสอดคล้องความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก และประชาชนได้เรียกร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือโดยการจัดหาสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายให้ประชาชนทั้ง 3 จังหวัด ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดอย่างทั่วถึงด้วย
2.2 "โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่สู่ชุมชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยร่วมมือกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดส่งสินค้าจำเป็นแก่การครองชีพ ได้แก่ ข้าวสาร น้ำตาลทราย โดยจำหน่ายราคาถูกให้ทุกอำเภอใน 3 จังหวัด รวมทั้งหมด 33 อำเภอ ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและอยู่ห่างไกลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า 16,500 ครอบครัว
3. การสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ
3.1 "โครงการอาสาพัฒนาพาณิชย์ไทยใต้" สร้างเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและปฏิบัติงานเพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดภาคใต้ และเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของกระทรวงพาณิชย์สู่ภาคประชาชน รวมทั้งเป็นสื่อกลางความต้องการของประชาชนในพื้นที่มายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การช่วยเหลือตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนสนับสนุนพัฒนาให้อาสาสมัครมีความรู้ความเข้าใจวิธีการการค้าขายเพื่อนำไปใช้ในการสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
3.2 "โครงการนำคณะผู้แทนการค้าจากจังหวัดภาคใต้เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน" ระหว่างวันที่ 14-24 ตุลาคม 2547 เพื่อศึกษาและพบปะเจรจาขยายตลาดการค้ากับนักธุรกิจมุสลิมในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพสูง รวมทั้ง ประชากรที่เป็นมุสลิมประมาณ 24.4 ล้านคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ทั้งนี้ ก่อนการเดินทางไปสู่จีนผู้แทนการค้าจาก 3 จังหวัดภาคใต้ดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก นำผู้นำชุมชนชาวมุสลิมและคณะทำงานเฉพาะกิจตัวแทนจากภาคประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและขอคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับผลการเดินทางจะได้นำเรียนคณะรัฐมนตรีในคราวต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-