คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธรรม แสงประทุม) เป็นประธานการประชุม ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นและบูรณาการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานในการให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรที่ประสบภัยได้ทันต่อสถานการณ์ ดังนี้
สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2547)
1. ความเสียหาย
(1) พื้นที่ประสบความแห้งแล้ง จำนวน 27 จังหวัด 155 อำเภอ 27 กิ่งอำเภอ 1,146 ตำบล 7,852 หมู่บ้าน แยกได้ ดังนี้
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ ขอนแก่น นครราชสีมา ยโสธร มหาสารคาม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ หนองคาย อุบลราชธานี อุดรธานี บุรีรัมย์ สกลนคร สุรินทร์ นครพนม และกาฬสินธุ์
ภาคเหนือ จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ อุทัยธานี แพร่ และลำปาง
ภาคกลาง จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี
ภาคตะวันออก จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา และนครนายก
(2) พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย พื้นที่นาข้าวเสียหาย 4,299,573 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 220,840,177 บาท
(3) ราษฎรเดือดร้อน 1,441,365 คน 348,470 ครัวเรือน
2. การให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
(1) การแจกจ่ายน้ำบริโภค จำนวน 2,279,428 ลิตร จำนวนรถบรรทุกน้ำ 20 คัน 225 เที่ยว
(2) การแจกจ่ายน้ำอุปโภค จำนวน 24,344,000 ลิตร จำนวนรถบรรทุกน้ำ 102 คัน 2,511 เที่ยว
(3) หน่วยงานราชการใช้เครื่องสูบน้ำ 119 เครื่อง เพื่อทำการสูบน้ำเข้าในพื้นที่การเกษตร
(4) การใช้จ่ายเงินทดรองราชการของจังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- การใช้จ่ายเงินทดรองราชการของจังหวัด 2,911,207 บาท
- การใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 328,088 บาท
3. การให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน
1. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยประสานงานด้านนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจังหวัดเป็นหน่วยปฏิบัติในการแก้ไขและระดมการให้ความช่วยเหลือ โดยเชื่อมโยงการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยในลักษณะบูรณาการ และมีเอกภาพในการแก้ไขปัญหา
2. กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและบรรเทาความแห้งแล้ง มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการโดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในฐานะสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนเป็นฝ่ายเลขานุการทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ความแห้งแล้งโดยประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ และกำลังเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังได้มอบหมายให้ ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัยเขตทุกเขต ให้การสนับสนุนจังหวัดที่ประสบปัญหาความแห้งแล้ง ในด้านกำลังคน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลและเครื่องมือเครื่องใช้ในการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งจังหวัดประสานงานโดยตรงไปยังศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต เพื่อขอรับการสนับสนุนได้ทันที
4. ด้านงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดมีเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุข น้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่นของยานยนต์ราชการและเครื่องสูบน้ำ ตลอดจนค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนการปฏิบัติให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากงบประมาณในการช่วยเหลือดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีอำนาจ ในการอนุมัติวงเงินทดรองราชการสำหรับภัยพิบัติในแต่ละครั้ง จำนวน 50 ล้านบาท หากวงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้ขอรับการสนับสนุนจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในวงเงิน 100 ล้านบาท
5. แนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในคราวประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธรรม แสงประทุม) เป็นประธาน ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ดังนี้
5.1 ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยเป็นศูนย์บูรณาการและประสานการปฏิบัติในส่วนกลาง
5.2 ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งจังหวัด เป็นศูนย์บูรณาการและประสานการปฏิบัติของจังหวัด ทำหน้าที่อำนวยการ สั่งการ และประสานการปฏิบัติของทุกหน่วยงานภายในจังหวัด
5.3 ให้มีการบูรณาการข้อมูลการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือของทุกหน่วย โดยให้อยู่ภายใต้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ทั้งในส่วนกลางและจังหวัด โดยให้ข้อมูลมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน แม่นยำ รวดเร็วและถูกต้องตรงกัน และเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง รวดเร็วและถูกต้อง
5.4 ให้มีการบูรณาการแผนปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อรองรับการประสานการปฏิบัติร่วมกัน
5.5 ให้มีการบูรณาการหน่วยงานอาสาสมัครในพื้นที่ เช่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มูลนิธิ สมาคม องค์กรการกุศล ฯลฯ เพื่อผนึกกำลังการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน
5.6 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาใช้จ่ายงบประมาณในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำหนด รวมทั้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
5.7 ให้ทุกหน่วยงานจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะ เช่น รถยนต์บรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำ ภาชนะรองรับน้ำไว้ให้พร้อม เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือราษฎร ให้มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ โดยใช้การสนธิกำลังที่มีอยู่กับศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งจังหวัด
5.8 ให้หน่วยงานเกษตรและสหกรณ์และชลประทาน ในพื้นที่จังหวัด แจ้งแผนการจัดสรรน้ำ และแจ้งข้อมูลการลดพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง และการงดทำนาปรังครั้งที่ 2 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบอย่างต่อเนื่อง
5.9 ให้ทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างประหยัด และการเก็บกักสำรองไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภค เพื่อลดสภาวะที่เสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำกิน น้ำใช้
5.10 ให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจจำนวนบ่อน้ำบาดาลที่ใช้การได้ และดำเนินการเป่าล้างบ่อบาดาลโดยเร็ว
5.11 ให้กรมชลประทาน จัดเครื่องสูบน้ำ เข้าช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะความแห้งแล้ง ในพื้นที่เป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2547/48
5.12 ให้ทุกหน่วยงาน พิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งตามแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
(1) ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ การจัดหากระสอบทรายเพื่อทำทำนบกักเก็บน้ำ จัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์บรรทุกน้ำ ซ่อมแซมภาชนะรองรับน้ำ ค่าตอบแทน ค่าจ้างเหมาแจกจ่ายน้ำ และค่าซ่อมยานพาหนะ
(2) ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ได้แก่ การเป่าล้างบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน
(3) ด้านพืชและการเกษตร ได้แก่ การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำ การชดเชยพันธุ์พืช และสารอินทรีย์วัตถุ
(4) ด้านปศุสัตว์ ได้แก่ การจัดหาสัตว์ วัคซีน และเวชภัณฑ์รักษาสัตว์
(5) ด้านสังคมสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพระยะสั้น ฯลฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-
สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2547)
1. ความเสียหาย
(1) พื้นที่ประสบความแห้งแล้ง จำนวน 27 จังหวัด 155 อำเภอ 27 กิ่งอำเภอ 1,146 ตำบล 7,852 หมู่บ้าน แยกได้ ดังนี้
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ ขอนแก่น นครราชสีมา ยโสธร มหาสารคาม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ หนองคาย อุบลราชธานี อุดรธานี บุรีรัมย์ สกลนคร สุรินทร์ นครพนม และกาฬสินธุ์
ภาคเหนือ จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ อุทัยธานี แพร่ และลำปาง
ภาคกลาง จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี
ภาคตะวันออก จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา และนครนายก
(2) พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย พื้นที่นาข้าวเสียหาย 4,299,573 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 220,840,177 บาท
(3) ราษฎรเดือดร้อน 1,441,365 คน 348,470 ครัวเรือน
2. การให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
(1) การแจกจ่ายน้ำบริโภค จำนวน 2,279,428 ลิตร จำนวนรถบรรทุกน้ำ 20 คัน 225 เที่ยว
(2) การแจกจ่ายน้ำอุปโภค จำนวน 24,344,000 ลิตร จำนวนรถบรรทุกน้ำ 102 คัน 2,511 เที่ยว
(3) หน่วยงานราชการใช้เครื่องสูบน้ำ 119 เครื่อง เพื่อทำการสูบน้ำเข้าในพื้นที่การเกษตร
(4) การใช้จ่ายเงินทดรองราชการของจังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- การใช้จ่ายเงินทดรองราชการของจังหวัด 2,911,207 บาท
- การใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 328,088 บาท
3. การให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน
1. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยประสานงานด้านนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจังหวัดเป็นหน่วยปฏิบัติในการแก้ไขและระดมการให้ความช่วยเหลือ โดยเชื่อมโยงการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยในลักษณะบูรณาการ และมีเอกภาพในการแก้ไขปัญหา
2. กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและบรรเทาความแห้งแล้ง มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการโดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในฐานะสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนเป็นฝ่ายเลขานุการทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ความแห้งแล้งโดยประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ และกำลังเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังได้มอบหมายให้ ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัยเขตทุกเขต ให้การสนับสนุนจังหวัดที่ประสบปัญหาความแห้งแล้ง ในด้านกำลังคน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลและเครื่องมือเครื่องใช้ในการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งจังหวัดประสานงานโดยตรงไปยังศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต เพื่อขอรับการสนับสนุนได้ทันที
4. ด้านงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดมีเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุข น้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่นของยานยนต์ราชการและเครื่องสูบน้ำ ตลอดจนค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนการปฏิบัติให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากงบประมาณในการช่วยเหลือดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีอำนาจ ในการอนุมัติวงเงินทดรองราชการสำหรับภัยพิบัติในแต่ละครั้ง จำนวน 50 ล้านบาท หากวงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้ขอรับการสนับสนุนจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในวงเงิน 100 ล้านบาท
5. แนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในคราวประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธรรม แสงประทุม) เป็นประธาน ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ดังนี้
5.1 ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยเป็นศูนย์บูรณาการและประสานการปฏิบัติในส่วนกลาง
5.2 ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งจังหวัด เป็นศูนย์บูรณาการและประสานการปฏิบัติของจังหวัด ทำหน้าที่อำนวยการ สั่งการ และประสานการปฏิบัติของทุกหน่วยงานภายในจังหวัด
5.3 ให้มีการบูรณาการข้อมูลการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือของทุกหน่วย โดยให้อยู่ภายใต้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ทั้งในส่วนกลางและจังหวัด โดยให้ข้อมูลมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน แม่นยำ รวดเร็วและถูกต้องตรงกัน และเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง รวดเร็วและถูกต้อง
5.4 ให้มีการบูรณาการแผนปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อรองรับการประสานการปฏิบัติร่วมกัน
5.5 ให้มีการบูรณาการหน่วยงานอาสาสมัครในพื้นที่ เช่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มูลนิธิ สมาคม องค์กรการกุศล ฯลฯ เพื่อผนึกกำลังการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน
5.6 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาใช้จ่ายงบประมาณในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำหนด รวมทั้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
5.7 ให้ทุกหน่วยงานจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะ เช่น รถยนต์บรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำ ภาชนะรองรับน้ำไว้ให้พร้อม เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือราษฎร ให้มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ โดยใช้การสนธิกำลังที่มีอยู่กับศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งจังหวัด
5.8 ให้หน่วยงานเกษตรและสหกรณ์และชลประทาน ในพื้นที่จังหวัด แจ้งแผนการจัดสรรน้ำ และแจ้งข้อมูลการลดพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง และการงดทำนาปรังครั้งที่ 2 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบอย่างต่อเนื่อง
5.9 ให้ทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างประหยัด และการเก็บกักสำรองไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภค เพื่อลดสภาวะที่เสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำกิน น้ำใช้
5.10 ให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจจำนวนบ่อน้ำบาดาลที่ใช้การได้ และดำเนินการเป่าล้างบ่อบาดาลโดยเร็ว
5.11 ให้กรมชลประทาน จัดเครื่องสูบน้ำ เข้าช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะความแห้งแล้ง ในพื้นที่เป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2547/48
5.12 ให้ทุกหน่วยงาน พิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งตามแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
(1) ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ การจัดหากระสอบทรายเพื่อทำทำนบกักเก็บน้ำ จัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์บรรทุกน้ำ ซ่อมแซมภาชนะรองรับน้ำ ค่าตอบแทน ค่าจ้างเหมาแจกจ่ายน้ำ และค่าซ่อมยานพาหนะ
(2) ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ได้แก่ การเป่าล้างบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน
(3) ด้านพืชและการเกษตร ได้แก่ การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำ การชดเชยพันธุ์พืช และสารอินทรีย์วัตถุ
(4) ด้านปศุสัตว์ ได้แก่ การจัดหาสัตว์ วัคซีน และเวชภัณฑ์รักษาสัตว์
(5) ด้านสังคมสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพระยะสั้น ฯลฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-