คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงสภาวการณ์ราคายางพาราในปัจจุบันที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้วิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อให้ทราบสาเหตุและข้อเท็จจริง ดังนี้
1. ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมของทุกปีเป็นช่วงฤดูกาล มีผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมาก ทำให้ราคาอ่อนตัวเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตามคาดว่าราคายางพาราในช่วงต้นปีน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับ ปีที่ผ่านๆ มา
2. เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญของเอเชีย เช่น เงินเยน เงินบาท เป็นต้น เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมากจากระดับอัตราแลกเปลี่ยน 110 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนสิงหาคม — กันยายน 2547 แข็งค่าขึ้น เป็น 102 — 103 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2547 ทำให้ราคายางตลาดโตเกียวปรับลดลงตามการแข็งค่าของเงินเยน สำหรับเงินบาทปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเป็น 39.15 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก จะส่งผลให้ราคายางส่งออกของไทยในรูปเงินบาทลดลงมาขึ้น
3. ความต้องการสั่งซื้อยางในช่วงปลายปีน้อย เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ปิดทำการ เพราะเป็นช่วงใกล้ เทศกาลต่าง ๆ และมีวันหยุดยาวนาน โดยโรงงานต่าง ๆ จะเริ่มทยอยสั่งซื้อ ยางพาราเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าต่าง ๆ และเก็บเข้าสต๊อกเมื่อพ้นเทศกาลแล้ว
4. การใช้ยางของจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ยางอันดับหนึ่งของโลก แต่การนำเข้ายางพาราของจีนในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2547 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากตามที่มีการคาดการณ์ไว้ และจีนนำเข้ายางจากไทยลดลง แต่กลับนำเข้ายางจากอินโดนีเซียและมาเลเซียเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 สูงกว่ายางแท่ง 20 ตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปี 2547 ความแตกต่างของราคายางแผ่นรมควันและยางแท่ง 20 ปรากฏเด่นชัดในช่วงเดือนพฤษภาคม — กันยายน ที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 สูงกว่าราคายางแท่ง 20 ถึงกิโลกรัมละ 20 เซนต์สหรัฐ อีกทั้งจีนอาจต้องการกระจายการซื้อยางพารา (Diversify) ไปยังประเทศผู้ส่งออกยางพาราอื่น ๆ โดยลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง
5. ผู้นำเข้ายางพาราของจีนได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราภาษีนำเข้ายาง และเงินหยวนจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มิให้สูงจนเกินไปจึงชะลอการนำเข้ายางพารา
สำหรับมาตรการรองรับที่จะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพารา ได้แก่
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลาดและราคายางพาราอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์เรื่องสถานการณ์ตลาดและราคายางให้เกษตรกรรับทราบถึงสถานการณ์ตลาดที่เป็นจริงและแนวโน้มในอนาคต
2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งหารือกับคณะกรรมการบริหารของบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (International Rubber Consortium) ซึ่งประกอบด้วย ไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่จะดำเนินการในกรณีที่ราคายางพารามีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 ธันวาคม 2547--จบ--
1. ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมของทุกปีเป็นช่วงฤดูกาล มีผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมาก ทำให้ราคาอ่อนตัวเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตามคาดว่าราคายางพาราในช่วงต้นปีน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับ ปีที่ผ่านๆ มา
2. เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญของเอเชีย เช่น เงินเยน เงินบาท เป็นต้น เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมากจากระดับอัตราแลกเปลี่ยน 110 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนสิงหาคม — กันยายน 2547 แข็งค่าขึ้น เป็น 102 — 103 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2547 ทำให้ราคายางตลาดโตเกียวปรับลดลงตามการแข็งค่าของเงินเยน สำหรับเงินบาทปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเป็น 39.15 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก จะส่งผลให้ราคายางส่งออกของไทยในรูปเงินบาทลดลงมาขึ้น
3. ความต้องการสั่งซื้อยางในช่วงปลายปีน้อย เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ปิดทำการ เพราะเป็นช่วงใกล้ เทศกาลต่าง ๆ และมีวันหยุดยาวนาน โดยโรงงานต่าง ๆ จะเริ่มทยอยสั่งซื้อ ยางพาราเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าต่าง ๆ และเก็บเข้าสต๊อกเมื่อพ้นเทศกาลแล้ว
4. การใช้ยางของจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ยางอันดับหนึ่งของโลก แต่การนำเข้ายางพาราของจีนในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2547 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากตามที่มีการคาดการณ์ไว้ และจีนนำเข้ายางจากไทยลดลง แต่กลับนำเข้ายางจากอินโดนีเซียและมาเลเซียเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 สูงกว่ายางแท่ง 20 ตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปี 2547 ความแตกต่างของราคายางแผ่นรมควันและยางแท่ง 20 ปรากฏเด่นชัดในช่วงเดือนพฤษภาคม — กันยายน ที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 สูงกว่าราคายางแท่ง 20 ถึงกิโลกรัมละ 20 เซนต์สหรัฐ อีกทั้งจีนอาจต้องการกระจายการซื้อยางพารา (Diversify) ไปยังประเทศผู้ส่งออกยางพาราอื่น ๆ โดยลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง
5. ผู้นำเข้ายางพาราของจีนได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราภาษีนำเข้ายาง และเงินหยวนจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มิให้สูงจนเกินไปจึงชะลอการนำเข้ายางพารา
สำหรับมาตรการรองรับที่จะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพารา ได้แก่
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลาดและราคายางพาราอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์เรื่องสถานการณ์ตลาดและราคายางให้เกษตรกรรับทราบถึงสถานการณ์ตลาดที่เป็นจริงและแนวโน้มในอนาคต
2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งหารือกับคณะกรรมการบริหารของบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (International Rubber Consortium) ซึ่งประกอบด้วย ไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่จะดำเนินการในกรณีที่ราคายางพารามีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 ธันวาคม 2547--จบ--