คณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ 4 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม 2) มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย 3) มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ และ 4) มาตรการอื่น ๆ
2. อนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้
2.1 ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้ของผู้ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
2.2 ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้พึงประเมินเท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่ส่วนราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยวาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติในลักษณะทำนองเดียวกัน เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
3. อนุมัติการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ตามมาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
4. มอบหมายให้กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตออกประกาศฯ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการที่เกี่ยวกับภาษี
5. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศฯ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมสำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย
1. มาตรการด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม
1.1 กรมสรรพากร
1.1.1 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ สำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2547 ที่ต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
1.1.2 ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้
1.1.3 ถ้าทรัพย์สินอยู่ระหว่างการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา และทรัพย์สินนั้นได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ผลเสียหายดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
1.1.4 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินบริจาคให้แก่ส่วนราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ
1.1.5 เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการใน 6 จังหวัดภาคใต้เป็นกรณีพิเศษ
1.2 กรมสรรพสามิต ขยายระยะเวลาการยื่นแบบรายการภาษีให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับผู้ประกอบการใน 6 จังหวัดภาคใต้
1.3 กระทรวงมหาดไทย
1.3.1 กรณีโรงเรือนได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติประชาชนจะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475
1.3.2 กรณีที่ดินที่ทำการเพาะปลูกได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ประชาชนจะได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508
1.3.3 ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และกรณีจดทะเบียนการจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ทั้งนี้ โดยมอบหมายกระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงิน
2.1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดสรรเงินกู้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดย ธปท. จะกำหนดวงเงินและอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนที่เหมาะสมต่อไป
2.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2.2.1 การช่วยเหลือเฉพาะหน้า
(1) กำหนดวงเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้ทุกจังหวัดในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจังหวัดละ 500,000 บาท เพื่อช่วยเหลือด้านเครื่องอุปโภคและบริโภค โดยการจัดถุงยังชีพมอบให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัย
(2) ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศจะรับเป็นศูนย์กลางรับบริจาคความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว
2.2.2 การช่วยเหลือด้านหนี้สิน
(1) กรณีหนี้สินเดิมที่มีกับ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2547
- กรณีเกษตรกรลูกค้าที่ประสบภัยอย่างแรงจนสูญเสียชีวิต และไม่มีลู่ทางชำระหนี้ให้แก่ ธ.ก.ส. จะให้ความช่วยเหลือโดยจำหน่ายลูกหนี้ดังกล่าวออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดย ธ.ก.ส. จะรับภาระเอง
- ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรเป็นเวลา 3 ปี
- งดคิดดอกเบี้ยลูกค้าที่ประสบภัยจากแผ่นดินไหวไม่เกิน 3 ปี โดยงดคิดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรอบปีบัญชี 2547 ถึง 2549 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ย
2.2.3 การช่วยเหลือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ
ธ.ก.ส. จะสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้ลูกค้านำไปฟื้นฟูการประกอบอาชีพโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 หรือต่ำกว่าหากได้รับการสนับสนุนต้นทุนเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
2.3 ธนาคารออมสิน ได้มีโครงการการให้สินเชื่อบำรุงขวัญ (ธรณีพิบัติภัย) ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อ ดังนี้
2.3.1 เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยในจังหวัด ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล และเป็นผู้มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
2.3.2 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซ่อมแซมทรัพย์สินของผู้กู้ที่ได้รับความเสียหาย และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยให้ยื่นกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2548
2.3.3 จำนวนเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท
2.3.4 ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี โดยรวมระยะเวลาปลอดชำระหนี้ และเงินต้น 1 ปี นับตั้งแต่เดือนที่จ่ายเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี โดยมีบุคคลค้ำประกัน 1 คน
อนึ่ง ธนาคารออมสินได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธ.ออมสิน ใน 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบภัยธรรมชาติ ได้แก่ พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 1 ปี และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แก่ลูกค้าธนาคารประชาชน จากร้อยละ 1 ต่อเดือน เป็นร้อยละ 0.5 ต่อเดือน
2.4 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ธรณีวิบัติภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
2.4.1 ลูกค้ารายเดิม ธพว. พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา 6-12 เดือน โดยพิจารณาจากความสามารถในการประกอบกิจการของลูกค้าแต่ละราย
2.4.2 ธพว. ได้จัดเตรียมวงเงินสินเชื่อไว้สำหรับฟื้นฟูกิจการของผู้ประสบธรณีวิบัติภัย จำนวน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน MLR — 1 ต่อปี ระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีไป
2.4.3 เนื่องจากพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีวิบัติภัยเป็นลูกค้าที่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ธพว. จะพิจารณาเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล
2.5 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จะติดตามและพิจารณาการผ่อนปรนเงื่อนไข สินเชื่อสำหรับลูกค้าของ ธสน. ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่อไป
2.6 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้ออกประกาศ ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 เรื่องโครงการเงินกู้เพื่อลด ภาระหนี้ ปลูกสร้าง และช่อมแซมที่อยู่อาศัยแก่ผู้ประสบภัย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าเดิมของ ธอส. และลูกค้าใหม่ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ โดยให้วงเงินสินเชื่อใหม่ และกำหนดเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสำหรับสินเชื่อเดิมและสินเชื่อใหม่
2.7 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
2.7.1 ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 1 ปี สำหรับลูกค้าเก่าที่อยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ และถึงกำหนดต้องชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุประกัน ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป
2.7.2 บสย. พร้อมให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ในการผ่อนปรนเรื่องการชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินการต่อไปได้
2.7.3 บสย. ตั้งวงเงินค้ำประกันสินเชื่อพิเศษจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และจะขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ โดยจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราพิเศษในปีแรกร้อยละ 0.5 ของวงเงินค้ำประกัน โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท
2.8 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
2.8.1 การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน
(1) กรณีลูกค้าของธนาคาร รายย่อยพักชำระหนี้ 6 เดือน ถึง 1 ปี ลูกค้ารายใหญ่พักชำระหนี้ 3 ปี พร้อมทั้งให้สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจโดยคิดผลตอบแทนในอัตราผ่อนปรน
(2) สำหรับที่ไม่ใช่เป็นลูกค้าของธนาคาร ธนาคารจะพิจารณาให้สินเชื่อโดยคิดอัตราผลตอบแทนในอัตราผ่อนปรน สำหรับสินเชื่อที่ธนาคารให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ สินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค สินเชื่อเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
2.8.2 การให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ
(1) ร่วมมือกับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และบริจาคเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ
(2) เป็นจุดบริการในการรับเงินบริจาค และรับเรื่องราวร้องทุกข์
(3) เป็นจุดบริการให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับความช่วยเหลือของทางราชการ และแจ้งความต้องการช่วยเหลือแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
2.9 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2.9.1 ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้
2.9.2 บรรเทาภาระให้ลูกค้าด้วยการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย
2.9.3 พิจารณาให้เงินกู้เพิ่มแก่ลูกค้าที่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินที่เสียหาย
2.9.4 เปิดบัญชีรับบริจาคช่วยผู้ประสบภัยที่ทุกสาขา ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทยก็ได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ด้วยเป็นอย่างดี
3. มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้สั่งจ่ายเงินทดรองราชการไปยังพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบปัญหาเป็นเงิน 245 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2547
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ และให้วงเงินทดรองราชการของส่วนราชการมีเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน 6 จังหวัดภาคใต้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที กระทรวงการคลังเห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ดังนี้
(1) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถพิจารณาขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการตามระเบียบ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัติอย่างรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชน และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือรัฐ และวงเงินทดรองราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
(2) ให้ส่วนราชการส่วนกลางที่มีวงเงินทดรองราชการสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาโอนเงินดังกล่าวให้แก่ที่ทำการปกครองจังหวัด เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำไปใช้จ่ายตามภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติของส่วนราชการเจ้าของเงินโดยไม่ต้องให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนก่อน
(3) ให้กระทรวงการคลังนำหลักการตามข้อ (1) และข้อ (2) ไปปรับปรุงแก้ไขระเบียบ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก
อนึ่ง เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้เป็นไปด้วยความคล่องตัว ทันต่อเหตุการณ์ และตรงกับความต้องการของผู้ประสบภัย กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาการให้ความช่วยเหลือที่นอกเหนือหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดได้ตามความจำเป็นเป็นกรณีพิเศษ โดยเวียนแจ้งให้จังหวัดทราบและถือปฏิบัติต่อไปแล้ว
4. มาตรการอื่นๆ
4.1 จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติภาคใต้วายุภักษ์ โดยรับเงินบริจาคจากรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป ซึ่งผู้บริจาคจะสามารถนำเงินบริจาคดังกล่าวหักเป็นค่าใช้จ่าย/ค่าลด-หย่อนในการเสียภาษีเงินได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังได้รับเงินบริจาคสำหรับกองทุนนี้เบื้องต้นแล้วเป็นเงินจำนวน 250 ล้านบาท
4.2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทยโดย ตลท. เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาเงินบริจาคสำหรับการช่วยผู้ประสบภัยในครั้งนี้ เป็นวงเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
4.3 มอบหมายให้สรรพากรภาคและสรรพากรพื้นที่จัดเตรียมบริการด้านอินเตอร์เน็ทให้แก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.4 มอบหมายให้กรมศุลกากรจัดเตรียมเรือเร็ว เพื่อสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และอื่นๆ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 ธันวาคม 2547--จบ--
1. อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ 4 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม 2) มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย 3) มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ และ 4) มาตรการอื่น ๆ
2. อนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้
2.1 ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้ของผู้ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
2.2 ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้พึงประเมินเท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่ส่วนราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยวาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติในลักษณะทำนองเดียวกัน เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
3. อนุมัติการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ตามมาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
4. มอบหมายให้กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตออกประกาศฯ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการที่เกี่ยวกับภาษี
5. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศฯ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมสำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย
1. มาตรการด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม
1.1 กรมสรรพากร
1.1.1 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ สำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2547 ที่ต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
1.1.2 ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้
1.1.3 ถ้าทรัพย์สินอยู่ระหว่างการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา และทรัพย์สินนั้นได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ผลเสียหายดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
1.1.4 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินบริจาคให้แก่ส่วนราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ
1.1.5 เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการใน 6 จังหวัดภาคใต้เป็นกรณีพิเศษ
1.2 กรมสรรพสามิต ขยายระยะเวลาการยื่นแบบรายการภาษีให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับผู้ประกอบการใน 6 จังหวัดภาคใต้
1.3 กระทรวงมหาดไทย
1.3.1 กรณีโรงเรือนได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติประชาชนจะได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475
1.3.2 กรณีที่ดินที่ทำการเพาะปลูกได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ประชาชนจะได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508
1.3.3 ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และกรณีจดทะเบียนการจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ทั้งนี้ โดยมอบหมายกระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงิน
2.1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดสรรเงินกู้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดย ธปท. จะกำหนดวงเงินและอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนที่เหมาะสมต่อไป
2.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2.2.1 การช่วยเหลือเฉพาะหน้า
(1) กำหนดวงเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้ทุกจังหวัดในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจังหวัดละ 500,000 บาท เพื่อช่วยเหลือด้านเครื่องอุปโภคและบริโภค โดยการจัดถุงยังชีพมอบให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัย
(2) ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศจะรับเป็นศูนย์กลางรับบริจาคความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว
2.2.2 การช่วยเหลือด้านหนี้สิน
(1) กรณีหนี้สินเดิมที่มีกับ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2547
- กรณีเกษตรกรลูกค้าที่ประสบภัยอย่างแรงจนสูญเสียชีวิต และไม่มีลู่ทางชำระหนี้ให้แก่ ธ.ก.ส. จะให้ความช่วยเหลือโดยจำหน่ายลูกหนี้ดังกล่าวออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดย ธ.ก.ส. จะรับภาระเอง
- ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรเป็นเวลา 3 ปี
- งดคิดดอกเบี้ยลูกค้าที่ประสบภัยจากแผ่นดินไหวไม่เกิน 3 ปี โดยงดคิดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรอบปีบัญชี 2547 ถึง 2549 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ย
2.2.3 การช่วยเหลือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ
ธ.ก.ส. จะสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้ลูกค้านำไปฟื้นฟูการประกอบอาชีพโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 หรือต่ำกว่าหากได้รับการสนับสนุนต้นทุนเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
2.3 ธนาคารออมสิน ได้มีโครงการการให้สินเชื่อบำรุงขวัญ (ธรณีพิบัติภัย) ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อ ดังนี้
2.3.1 เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยในจังหวัด ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล และเป็นผู้มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
2.3.2 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซ่อมแซมทรัพย์สินของผู้กู้ที่ได้รับความเสียหาย และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยให้ยื่นกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2548
2.3.3 จำนวนเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท
2.3.4 ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี โดยรวมระยะเวลาปลอดชำระหนี้ และเงินต้น 1 ปี นับตั้งแต่เดือนที่จ่ายเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี โดยมีบุคคลค้ำประกัน 1 คน
อนึ่ง ธนาคารออมสินได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธ.ออมสิน ใน 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบภัยธรรมชาติ ได้แก่ พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 1 ปี และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แก่ลูกค้าธนาคารประชาชน จากร้อยละ 1 ต่อเดือน เป็นร้อยละ 0.5 ต่อเดือน
2.4 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ธรณีวิบัติภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
2.4.1 ลูกค้ารายเดิม ธพว. พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา 6-12 เดือน โดยพิจารณาจากความสามารถในการประกอบกิจการของลูกค้าแต่ละราย
2.4.2 ธพว. ได้จัดเตรียมวงเงินสินเชื่อไว้สำหรับฟื้นฟูกิจการของผู้ประสบธรณีวิบัติภัย จำนวน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน MLR — 1 ต่อปี ระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีไป
2.4.3 เนื่องจากพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีวิบัติภัยเป็นลูกค้าที่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ธพว. จะพิจารณาเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล
2.5 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จะติดตามและพิจารณาการผ่อนปรนเงื่อนไข สินเชื่อสำหรับลูกค้าของ ธสน. ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่อไป
2.6 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้ออกประกาศ ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 เรื่องโครงการเงินกู้เพื่อลด ภาระหนี้ ปลูกสร้าง และช่อมแซมที่อยู่อาศัยแก่ผู้ประสบภัย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าเดิมของ ธอส. และลูกค้าใหม่ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ โดยให้วงเงินสินเชื่อใหม่ และกำหนดเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสำหรับสินเชื่อเดิมและสินเชื่อใหม่
2.7 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
2.7.1 ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 1 ปี สำหรับลูกค้าเก่าที่อยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ และถึงกำหนดต้องชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุประกัน ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป
2.7.2 บสย. พร้อมให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ในการผ่อนปรนเรื่องการชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินการต่อไปได้
2.7.3 บสย. ตั้งวงเงินค้ำประกันสินเชื่อพิเศษจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และจะขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ โดยจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราพิเศษในปีแรกร้อยละ 0.5 ของวงเงินค้ำประกัน โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท
2.8 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
2.8.1 การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน
(1) กรณีลูกค้าของธนาคาร รายย่อยพักชำระหนี้ 6 เดือน ถึง 1 ปี ลูกค้ารายใหญ่พักชำระหนี้ 3 ปี พร้อมทั้งให้สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจโดยคิดผลตอบแทนในอัตราผ่อนปรน
(2) สำหรับที่ไม่ใช่เป็นลูกค้าของธนาคาร ธนาคารจะพิจารณาให้สินเชื่อโดยคิดอัตราผลตอบแทนในอัตราผ่อนปรน สำหรับสินเชื่อที่ธนาคารให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ สินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค สินเชื่อเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
2.8.2 การให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ
(1) ร่วมมือกับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และบริจาคเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ
(2) เป็นจุดบริการในการรับเงินบริจาค และรับเรื่องราวร้องทุกข์
(3) เป็นจุดบริการให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับความช่วยเหลือของทางราชการ และแจ้งความต้องการช่วยเหลือแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
2.9 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2.9.1 ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้
2.9.2 บรรเทาภาระให้ลูกค้าด้วยการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย
2.9.3 พิจารณาให้เงินกู้เพิ่มแก่ลูกค้าที่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินที่เสียหาย
2.9.4 เปิดบัญชีรับบริจาคช่วยผู้ประสบภัยที่ทุกสาขา ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทยก็ได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ด้วยเป็นอย่างดี
3. มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้สั่งจ่ายเงินทดรองราชการไปยังพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบปัญหาเป็นเงิน 245 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2547
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ และให้วงเงินทดรองราชการของส่วนราชการมีเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน 6 จังหวัดภาคใต้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที กระทรวงการคลังเห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ดังนี้
(1) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถพิจารณาขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการตามระเบียบ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัติอย่างรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชน และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือรัฐ และวงเงินทดรองราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
(2) ให้ส่วนราชการส่วนกลางที่มีวงเงินทดรองราชการสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาโอนเงินดังกล่าวให้แก่ที่ทำการปกครองจังหวัด เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำไปใช้จ่ายตามภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติของส่วนราชการเจ้าของเงินโดยไม่ต้องให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนก่อน
(3) ให้กระทรวงการคลังนำหลักการตามข้อ (1) และข้อ (2) ไปปรับปรุงแก้ไขระเบียบ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก
อนึ่ง เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้เป็นไปด้วยความคล่องตัว ทันต่อเหตุการณ์ และตรงกับความต้องการของผู้ประสบภัย กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาการให้ความช่วยเหลือที่นอกเหนือหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดได้ตามความจำเป็นเป็นกรณีพิเศษ โดยเวียนแจ้งให้จังหวัดทราบและถือปฏิบัติต่อไปแล้ว
4. มาตรการอื่นๆ
4.1 จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติภาคใต้วายุภักษ์ โดยรับเงินบริจาคจากรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป ซึ่งผู้บริจาคจะสามารถนำเงินบริจาคดังกล่าวหักเป็นค่าใช้จ่าย/ค่าลด-หย่อนในการเสียภาษีเงินได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังได้รับเงินบริจาคสำหรับกองทุนนี้เบื้องต้นแล้วเป็นเงินจำนวน 250 ล้านบาท
4.2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทยโดย ตลท. เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาเงินบริจาคสำหรับการช่วยผู้ประสบภัยในครั้งนี้ เป็นวงเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
4.3 มอบหมายให้สรรพากรภาคและสรรพากรพื้นที่จัดเตรียมบริการด้านอินเตอร์เน็ทให้แก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.4 มอบหมายให้กรมศุลกากรจัดเตรียมเรือเร็ว เพื่อสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และอื่นๆ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 ธันวาคม 2547--จบ--